รวมหนังที่ทำให้เรา คิดถึง Chadwick Boseman
สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าเกิดกับหลายๆ คนหลังจากได้ดูตัวอย่างของ Wakanda Forever แล้วก็คือความคิดถึงที่มีต่อนักแสดง Chadwick Boseman ที่สวมบท Black Panther ในจักรวาล Marvel (MCU) เอาไว้ได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งก็น่าเสียดายที่แม้ว่าตัวละครนี้ยังมีโอกาสโลดแล่นและไปต่อในจักรวาล แต่เขานั้นกลับเสียชีวิตลงก่อนในปี 2020 จากโรคมะเร็งลำไส้ จนนับว่าเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในวงการ Hollywood เลย
ทำให้แม้ว่าจะเป็นขาขึ้นของอาชีพนักแสดงของเขา แต่ก็มีผลงานตามมาหลังจากเป็น Black Panther ได้ไม่นาน แต่รวมๆ แล้วก็เป็นภาพยนตร์ที่พอจะมีอะไรให้พูดถึงอยู่ดี ด้วยความคิดถึงวันนี้เลยอยากมาชวนรำลึกหนังของ Chadwick Boseman ไปด้วยกัน ว่ามีเรื่องไหนที่น่าสนใจกันบ้าง เผื่อว่าจะไปตามดูกัน
1. 42 (2013)
แจ็คกี้ โรบินสัน นักเบสบอลระดับตำนานที่เป็นคนทำลายเรื่องการเหยียดสีผิวในหมู่กีฬาเบสบอล เมื่อเขาเข้าไปร่วมทีมกับกลุ่ม Brooklyn Dodgers และที่นั่นเองที่เขาได้พบกับ แบรนช์ ริคกี้ ผู้บริหารของ MLB ที่เดิมทีเซ็นสัญญากับเขาในฐานะผู้เล่นไมเนอร์ลีก แต่เพราะประทับใจในความสามารถและตัวตนของเขา จึงได้ช่วยผลักดันจนแจ็คกี้ได้เป็นนักเบสบอลผิวสีที่โด่งดังในที่สุด
หนังที่แจ้งเกิดให้กับ Chadwick Boseman เข้าสู่วงการแบบเต็มตัว โดย 42 นั้นหนังชีวประวัตินักกีฬาที่นำเสนอการต่อสู้ของนักเบสบอลผิวสีคนหนึ่งที่ต้องการพิสูจน์ฝีมือให้คนผิวขาวรับรู้ว่าความสามารถที่แท้จริงไม่ใช่รูปลักษณ์สีผิว แต่อยู่ที่ฝีมือมันสมอง หนังจึงไม่ได้พูดถึงพูดถึงกีฬาเพียงอย่างเดียว แต่เล่าเรื่องในเชิงว่านี่คือการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของผิวสีที่ไม่ได้โดดกดขี่ข่มเหงแบ่งชนชั้น หนังเหมือนกับการที่คนดูลุ้นเอาไว้ใจช่วยตัวละคร Jackie Robinson ในการเอาชนะใจผู้ชมในสนาม เป็นหนังที่เอนเตอร์เทนคนดู หนังแนวนี้มาในรูปแบบที่ดูง่ายไม่ซับซ้อน ถ้าเป็นคนชอบหนังที่สร้างจากหนังจริงก็ชอบการเล่าเรื่องของหนังแน่นอน
2. Draft Day (2014)
ซอนนี่ วีฟเวอร์ ผู้จัดการทั่วไปของทีมอเมริกันฟุตบอลคลีฟแลนด์ ในวันสุดเดือดอย่าง Draft Day ซึ่งเป็นวันที่ทีมผู้จัดการนั้นจะต้องตัดสินใจเลือกซื้อ-ขายนักกีฬาทีม ท่ามกลางความกดดันจากทุกๆ ทาง ทั้งตัวนักกีฬา สมาชิกสโมสร นายทุน และแฟนๆ ที่จะทำให้เห็นกระบวนการสุดเดือดตลอด 1 วันของเขา
อีกหนังที่น่าเสียดายที่ถูกหลายคนมองข้าม ส่วนหนึง่เพราะกีฬาอเมริกันฟุตบอล หรือลีค NFL นั้นอาจไม่ได้เป็นกีฬาที่ฮิตในบ้านเราเท่าไร เพราะไม่ได้มีการแข่งหรือถ่ายทอดสด แต่ทว่า หนังกลับเล่าได้มีความเป็นสากลมากๆ ทำให้เราเข้าใจง่ายๆ ถึงกระบวนการการ Draft ตัวผู้เล่นที่เกิดขึ้นภายในหนึ่งวัน ว่าต้องมีอะไรต้องพิจารณาบ้าง และคนทำหน้าที่นี้ต้องทำอะไร ซึ่งการตัดต่อและการเล่าเรื่องก็ช่วยขับเน้นให้จังหวะเรื่องเต็มไปด้วยความลุ้น เร้าใจ แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นการแข่งก็ตาม นับว่าเป็นหนังกระบวนการวางหมาก เน้นเรื่องของชั้นเชิงต่างๆ โดยมี Chadwick Boseman มารับบทเป็นนักกีฬาคนสำคัญในเรื่องก็ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่เลย
3. God of Egypt (2016)
เซ็ท เทพแห่งความแห้งแล้งที่อยู่ๆ หวังความเป็นใหญ่ และพลังอำนาจทั้งหมดในโลกเอาไว้ แต่กลับถูกต่อต้านโดย ฮอรัส เทพเจ้าแห่งท้องฟ้า ซึ่งหลังการปะทะ ฮอรัสกลับเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจนทำให้ เซ็ทควักลูกตาเขาออกมาและกักขังเขาเอาไว้ เพื่อไม่ให้กลับมามีพลังอีกครั้ง ภายใต้การปกครองของ เซ็ทนำมาสู่ความวุ่นวายของผู้คน จนกระทั่งวันหนึ่ง เบค เด็กหนุ่มมหัวขโมย ได้พบกับ ฮอรัส และกลายมาเป็นผู้ช่วยเขา เพื่อปลดปล่อยฮอรัสกลับมา และทวงคืนอำนาจกลับมาจากเซ็ท
หนัง Hollywood แบบจักรๆ วงศ์ๆ ที่ค่อนข้างดูลิเกไม่น้อย ในส่วนของเนื้อเรื่องก็ทำออกมาง่ายๆ ให้ดูเพลินๆ ไม่มีอะไรที่เกินกว่าที่จะคาดเดา เพราะเนื้อเรื่องค่อนข้างเป็นเส้นตรงมากๆ ในส่วนฉากแอคชั่นก็ทำออกมาได้ดูดีพอตัว เน้นการใช้ CG แบบหนักๆ เป็นหลัก จนทำให้พอดู Epic และดูได้เพลินๆ อยู่ตลอดทั้งเรื่อง จนทำให้โดยรวมมันอาจที่จะเป็นหนังที่ไม่ค่อยมีอะไรให้พูดถึงมากนัก และไม่ค่อยมีอะไรน่าจดจำเท่าไร เช่นเดียวกับ Chadwick Boseman ในเรื่อง ที่เล่นเป็น Thoth เทพแห่งความเรียนรู้ที่สรรสร้างสิ่งต่างๆ มากมาย แต่น่าเสียดายที่ก็ออกมาเหมือนเป็นตัวประกอบเสียมากกว่า
4. Black Panther (2018)
ที ชาลล่า เจ้าชายแห่ง Wakanda ที่ได้รับสืบทอดจากพ่อของเขาในฐานะการเป็นกษัตริย์ของเมือง แต่เขากลับต้องพบกับการเมืองของชนเผ่าต่างๆ ที่ยังไม่ยอมรับในความสามารถและไม่เชื่อว่าเขาจะดำรงตำแหน่งนี้ได้ อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับ อีริค คิลมอนเกอร์ เจ้าชายอีกคนที่หวังมาทวงสิทธิในบัลลงก์อยูเช่นกัน จนทำให้ ที ชาลล่าเองต้องสะสางความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า เขานั้นคู่ควรกับการเป็นผู้นำขึ้นมาจริงๆ
จริงๆ แล้ว Chadwick Boseman ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในบทบาทของ Black Panther นั้นในหนังอย่าง Captain America: Civil War (2016) ในฐานะลูกชายของกษัตริย์ Wakanda ที่ได้รับผลพวงจากการก่อการร้าย จนต้องออกล่า Winter Soldier อีกคน ซึ่งก็ใช้เวลาอีก 2 ปีกว่าเขาที่จะมีหนังเดี่ยวเป็นของตัวเอง ซึ่งตัวหนังเองก็ได้รับคำวิจารณ์ไปในทางที่ค่อนข้างดีมากๆ ในแง่ของการถ่ายทอดวัฒนธรรมชาวแอฟริกัน และเป็นตัวแทนฮีโร่ของคนผิวดำจนกวาดรายได้มามหาศาล และมีแนวทางต่อไปได้อีกยาวๆ จนเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ Wakanda Forever นั้น จะไม่มีชายผู้นี้อีกแล้ว
5. 21 Bridges (2019)
อังเดร เดวิส ตำรวจนิวยอร์กที่มารับภารกิจไล่ล่าคนร้ายฆาตกรรมตำรวจภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อตามล่าคนร้ายในคดีอุกฉกรรจ์นี้และการที่จะไม่ให้ผู้ร้ายหลบหนีไปได้ อังเดรสั่งการปิดเกาะแมนฮัตตันลงทั้งเกาะ ซึ่งรวมไปถึงสะพาน 21 จุด แม่น้ำ 3 สาย อุโมงค์ อีก 4 จุด รวมถึงหยุดขบวนรถทุกประเภทเข้าออกจากเกาะทั้งหมด ก่อนส่งนายตำรวจรวมถึงตัวเขาเองเข้าไปปฏิบัติการไล่ล่าความเดือดระอุครั้งนี้
หนังแอ็คชั่นที่ทำออกมามีกลิ่นอายโทนตำรวจยุค 90 เนื้อหาสาดประเด็นความไม่ชอบมาพากลในวงการสีกากี ที่มีเรื่องราวยาเสพติดเข้ามาผัวพัน แล้วก็ใส่ปมการไล่ล่าคนร้ายทั่วเมืองนิวยอร์ก ปมปัญหาของหนังมันจะเริ่มคลี่คลายออกในช่วงกลางเรื่อง ซึ่งในภาพรวมแล้วนั้นตัวหนังไม่ได้ครบเครื่องมากนัก แต่ก็มีเรื่องราวที่ทำออกมาให้ดูเอาสนุกซะมากกว่า และเป็นหนังที่ Chadwick Boseman นั้น ได้รับบทตัวเอกในหนังแอคชั่นไปเต็มๆ ด้วย ซึ่งเขาก็ดูเหมาะกับบทตำรวจดี จนอยากที่จะเห็นเขาแสดงหนังประมาณนี้อีกด้วยซ้ำ
6. Da 5 Bloods (2020)
อดีตทหารอเมริกันผิวดำ 5 คนที่ไปรบในสมัยสงครามเวียดนาม ได้มีโอกาสกลับมาพบกันอีกครั้ง เพื่อตามหาเพื่อนทหารผ่านศึกของเขาอีกคนที่สูญหายไปอย่างเป็นปริศนา แต่หนึ่งในพวกเขากลับมีจุดประสงค์แอบแฝง ในการที่จะไปตามหาทองที่ซ่อนเอาไว้ จนนำไปสู่การตามล่าแบบเอาชีวิต ที่ทำให้พวกเขาต้องหาทางในการเอาชีวิตตามมา ทุกคนเลยตกอยู่ในสภาพเหมือนกลับไปสู่สงครามอีกครั้ง
กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของ Chadwick Boseman ไปเสียแล้ว ซึ่งก็เป็นผลงานที่ร่วมกับ Spike Lee ลงใน Netflix ที่สะท้อนถึงชีวิตทหารผ่านศึกและ PTSD ออกมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งการตัดสลับเรื่องราว ก็ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของแต่ละตัวละครมากขึ้น จนมันกลายเป็นหนังระดับคุณภาพที่เดินหน้าคว้ารางวัลมากมายจากหลายๆ เวที โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มนักแสดงของเรื่องทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นเล็กก็กวาดคำชมไปได้มากมาย จนเรียกได้ว่าหากมองว่าเป็นผลงานสุดท้ายของ Chadwick มันก็เป็นผลงานที่ดี และน่าจะทำให้ใครหลายๆ คนจดจำเข้าได้ดีอย่างแน่นอน