Escape from Mogadishu (2021)
หนีตาย โมกาดิชู
คะแนน
โกดังหนัง
นี่คือหนังที่จะติดท็อปเท็นหนังยอดเยี่ยมของโกดังหนังแน่นอน มันทั้งดราม่าตราตรึงเร้าอารมณ์ มีความตลกร้าย เสียงน้ำตา เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ ฉากแอ็คชั่นพีคมากหนีตายสุดระทึก ทำให้เห็นภาพความจริงว่า 2 เกาหลีไม่ถูกกันเพราะอะไรหนังเฉลยไว้หมด มันดีมากไม่แปลกใจที่ไปออสการ์
คำคมจากภาพยนตร์
"เราต้องรอดไปด้วยกัน เราจะไม่ทิ้งใครไว้เด็ดขาด"
เรื่องย่อ
เหตุการณ์สงครามกลางเมืองโซมาเลียช่วงยุค 90 ฮันชินซองทูตประจำเกาหลีใต้ประจำเมืองโมกาดิชู ประเทศโซมาเลีย ต้องเผชิญกับการปฏิวัติภายในประเทศ ที่ก่อตัวขึ้นเป็นสงครามกลางเมืองสุดอันตราย เขาตัดสินใจช่วยเหนือ ทูตเกาหลีเหนือ ริมยงซู คู่แข่งร่วมชาติที่พลัดหลงเข้ามาในสถานทูตเกาหลีใต้ จำใจต้องทิ้งความบาดหมางทางการเมืองและจับมือกันฝ่าวิกฤติในครั้งนี้พาผู้คนจากสถานทูตทั้งสองแห่งหลบหนีออกจากประเทศโซมาเลียไปให้ได้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Escape from Mogadishu คือหนังคุณภาพที่ควรค่าแก่การมาดูสักครั้งในชีวิต กลายเป็นหนังเกาหลีที่เสนอมุมมองใหม่ๆ หยิบความแตกต่างของ 2 เกาหลีมาเล่าให้เห็นภาพความจริงที่ดูยังไงก็ไม่มีวันกลับมารวมตัวกันได้ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมและคิดว่าตัวเองถูกต้อง แต่เมื่อสถานการณ์บีบบังคับทำให้เราได้เห็นความเป็นเพื่อนมนุษย์ การช่วยเหลือกันและกัน ทุกคนละทิ้งความเห็นต่างอุดามการณ์ออกไป หนังเล่าเรื่องได้ตรึงเครียดดราม่าบีบอารมณ์บีบหัวใจผู้ชม เป็นผลงานเกาหลีที่มีความเป็นสากลสูงมาก
- สายหนังรางวัลคุณภาพ
- สายหนังเกาหลี
- สายหนังดราม่าสงคราม
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หากว่า Parasite หยิบความเหลื่อมล่ำรวยจนมาเป็นจุดขายจนประสบความสำเร็จโด่งดังไปทั่วโลก หนังเรื่องนี้ก็คงหยิบความจริงความเป็นชนชาติเกาหลีในไฟสงครามมาเป็นเล่าเรื่อง เนื้อหาเล่าย้อนกลับไปยังวันวาน ตอนที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ใช้ชื่อเหมือนกัน พวกเขาคือชนชาติที่ดิ้นรนช่วงชิงโอกาสเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ เพื่อจะได้เข้าไปยังสหประชาชาติ การไปจับมือกับประเทศในแอฟริกาอย่างโซมาเลีย ส่งคณะฑูตไปประจำที่นั้นเป็นทางออกที่ดีกว่าเพื่อให้ประเทศละแวกนี้โหวต ดีกว่าไปเจริญพูดคุยกับมหาอำนาจตะวันตก พวกเขาต้องต่อรองโน้มน้าวให้รัฐบาลโซมาเลียและประเทศละแวกนั้นเชื่อใจ เจรจาแลกเปลี่ยนซื้อขายอาวุธมันไม่ต่างจากเกมการเมืองที่เกาหลีเหนือและใต้พยายามช่วงชิงอำนาจเพื่อผลประโยชน์ที่จะได้ ทั้งแบบใสสะอาดและสกปรก ขัดขว้างไม่ให้อีกฝ่ายได้ดิบได้ดี เพียงแต่ความซวยพวกเขาดันมาอยู่ในประเทศเผด็จการที่กำลังมีปัญหาการเมืองพอดีนี่แหละจากที่คิดว่าจะฉกฉวยโอกาสแสว่งหาผลประโยชน์ให้ประเทศตัวเองดันต้องมาเจอความขัดแย้งที่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ตลกร้ายที่มันดันตรงกับสิ่งที่คนเกาหลีเผชิญพอดี ลำพังเกาหลีด้วยกันก็ขัดแย่งกันเพราะอุดมการณ์ความต่างทางการเมืองอยู่แล้ว แต่ต้องมาเจอความรุนแรงแบบป่าเถื่อน ที่คนโซมาเลีย ติดอาวุธ ต่อสู้เพื่อคว่ำผู้นำประเทศประธานาธิบดีบาร์เร ไฟสงครามระอุ กองกำลังอาวุธครบมือออกมาลุยไปทั่วเมือง ทั้งห่ากระสุนและระเบิดเปลี่ยนให้เมืองนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง
บรรยากาศหนังยุ่งเหยิงวุ่นวายมาก แค่โซมาเลียที่เป็นระบบเผด็จการก็แย่อยู่แล้ว ละแวก 2 ข้างทางแร้นแค้นยากลำบาก เมื่อเหตุการณ์กบฏในประเทศบานปลาย ชาวต่างชาติที่อยู่ในเมืองโมกาดิซูรับเคราะห์ไปเต็มๆ หากพวกเขาเลือกสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการ และโดนขู่จะทำร้าย ประชาชนที่ถูกรัฐบาลเรียกว่าเป็นกบฏ ประท้วงอย่างหนักใช้ความรุนแรงถึงมีเงินอย่างเดียวก็ซื้อความสบายในเวลานั้นไม่ได้ เด็กลุกขึ้นมาจับปืนเดินหน้าไล่ยิงผู้คนที่เห็นต่าง เพียงเพราะพวกเขาหมดความอดทนกับผู้นำ เจ้าหน้าที่รัฐที่เอาเปรียบประชาชน คอรัปชั่นมันทุกรูปแบบ ภาพที่เห็นในหนังคือความขัดแย้งที่ยากประสานรอยร้าว เหตุการณ์ตึงเครียดบีบบังคับให้ฑูตเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ละทิ้งความบาดหมางมุมมองทัศนคติทางการเมืองหันมาหาวิธีที่จะเอาตัวรอดจากโซมาเลีย หนังค่อยๆชำแหละมุมมองทัศนคติของ 2 เกาหลีว่าทำไมพวกเขามักจะชิงดีชิงเด่นกันทั้งที่รากฐานพวกเขาก็เหมือนกัน ทำไมเขาถึงชอบขัดแข้งขัดขากันไว้ใจซึ่งกันและกันไม่ได้ องค์ประกอบจากช่วงแรกไปช่วง 2 เข้าสู่ช่วง 3 ร้อยเรียงเรื่องราวได้ดี จากดราม่ามาเป็นความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความคัดแย้งของ 2 เกาหลี กลายเป็นว่าพวกเขาพร้อมจะเดินหน้าที่จะช่วยเหลือกันเพื่อนำพาลูกหลานตัวเองเอาตัวรอดออกไปจากฝ่าสมรภูมินรก หนังดูมีความเป็นสากล ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่หยิบเรื่องจริงมาเล่า การเซ็ตติ้งโลโคชั่นที่ยังกับอยู่ในสงครามจริง ช่วง 30 นาทีสุดท้ายในองค์ 4 คือไคล้แม็กซ์สำคัญที่เราไม่อยากให้คอหนังพลาดเลยทำน้ำตาซึม
เราอยากชื่นชมผู้กำกับที่ผสมผสานหนังเรื่องนี้ออกมามากกว่าหนังสงครามหนีตายแอ็คชั่นดราม่า เขาสื่อสารให้เห็นว่าทำไมคนเกาหลีเหนือและใต้ถึงมีทัศนคติที่แตกต่างกัน การปิดหูปิดตาเชื่อมั่นคำพูดคนอื่นจนมองไม่เห็นความจริงของคนอีกฝั่ง อะไรทำให้คนเกาหลีเหนือออกไปทำงานนอกประเทศแล้วต้องทิ้งครอบครัวตัวเองเอาไว้ที่ประเทศตัวเอง หรือคนเกาหลีใต้ที่ถูกปลูกฝังว่าตัวเหนือกว่าแต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้เหนือกว่าสักเท่าไหร่ และคนในบ้านเขาเองก็ต้องดิ้นรนออกนอกประเทศเพื่อไปทำงานที่แวดล้อมที่ดีกว่าประเทศตัวเองเหมือนแบบท่านฑูตที่หาข้ออ้างไม่ยอมกลับบ้านเกิด หนังสื่อสารให้เราเข้าใจถึงเส้นขนานทางการเมืองของ 2 เกาหลีที่ดูยังไงไม่มีวันมาบรรจบกันได้ บรรยากาศหนังมันได้ Feeling ที่ดีมาก การสร้างสรรค์วิธีการเล่าเรื่องจึงทำให้เราเห็นถึงประวัติศาสตร์ความจริงชนชาติเกาหลีพวกเขาไม่เคยคิดจะว่าเหนือและใต้คือคนรากเหง้าเดียวกันอยู่แล้ว นักแสดงนำ Kim Yoon-seo ไม่ว่าจะเป็นท่านฑูต Han Sin-seong ผู้ที่เลือกวางทิฐิ นำพาคนเกาหลีเหนือเดินหน้าเอาตัวรอดไปพร้อมกันโดยไม่ยอมทิ้งใครไว้ข้างหลัง เขาทำให้เราเชื่อว่า คนเราไม่ควรจมปลักกับแวดล้อมเดิมๆ อะไรช่วยได้ก็ต้องช่วย, Jo In-sung ที่ปรึกษาฑูตเกาหลีใต้หนุ่มหัวหมออารมณ์ร้อน เหมือนคนวางแท็คติกเอาในการหนีตายในครั้งนี้ อาจหุนหันพลันแล่นแต่ท่าทางการแสดงจากช่วงแรกไปจนถึงตอนจบบอกเลยว่าคุณภาพสูง Heo Joon-ho ในบทฑูต Rim Yong-su ของเกาหลีเหนือผู้นำที่มาจากประเทศเผด็จการแต่ดันไม่มีความเห็นแก่ตัวเลยสักนิดพอดูไปเรื่อยๆ เราเข้าใจแล้วว่าทำไมมีหลายคนชื่นชมเขาในบทบาทนี้ และ Koo Kyo-hwan ในบทที่ Tae Joon-ki ที่ปรึกษาไหวพริบเยี่ยมฝั่งเกาหลีเหนือที่เหมือยนเป็นคนไหวพริบดีเพื่อช่วยให้ทุกคนรอดตาย 4 ดารานำแบกเรื่องราวได้อยู่หมัดตั้งแต่ต้นจนจบ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังทำรายได้ขึ้นอันดับ 1 เกาหลีใต้ ในปี 2021 กวาดเงินไปกว่า 900 ล้านบาท
- หนังเปิดตัวขึ้นอันดับ 1 ทำรายได้เหนือกว่า Black Widow
- นี่คือหนังที่เป็นตัวแทนเกาหลีเข้าชิงออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม
- ฉากในโซมาเลีย ทีมงานไปถ่ายทำกันที่ประเทศโมร็อกโค