Paper Towns (2015)
เมืองกระดาษ
คะแนน
โกดังหนัง
นี่คือหนังชีวิตที่เป็นมากกว่าหนังรัก
สะท้อนมุมมองความคิดวัยรุ่นที่ควรเป็นไปตามฝัน
เพราะชีวิตมันเป็นของเราไม่ใช่ของคนอื่น
คำคมจากภาพยนตร์
"What a treacherous thing it is to believe that a person is more than a person." "มันคือภาพลวงตาที่เราเชื่อว่าคนๆ หนึ่งจะวิเศษวิโสกว่าคนอื่น"
เรื่องย่อ
คิว ตกหลุมรัก มาร์โก้ มาตั้งแต่เด็ก แต่พอโตขึ้นทั้งคู่เริ่มห่างไม่ได้คุยกันทั้งที่บ้านอยู่ตรงข้ามกันแท้ ๆ ถึงอย่างนั้นคิวก็มองเธออย่างชื่นชมมาโดยตลอดไม่ต่างจากที่ทั้งโรงเรียนมองว่าเธอเป็นสาวสุดเก๋ หลังจากในคืนหนึ่งที่เธอเริ่มต้นกลับมาคุยกับเขาโดยการชวนไปล้างแค้นกลุ่มเพื่อนสนิทและแฟนเก่าที่นอกใจ เธอได้หนีออกจากบ้านพร้อมทิ้งเงื่อนงำให้เด็กเรียนอย่างเขาออกตามหา โดยมีเพื่อนสนิทมาร่วมขบวนการคือ 'เบ็น' และ 'เรดาห์'
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Paper Towns เป็นหนังวัยรุ่นที่สื่อความหมายถึงการค้นหาตัวต้นที่แท้จริง และไม่ควรตัดสินคนจากเปลือกภายนอก บางครั้งเราอาจะพลาดคนดีๆไปก็ได้ ถ้าหากมีมุมมองแบบนี้ แถมเนื้อหาหนัังยังค่อยย้ำเตือนเราว่าชีวิตเรามีแค่ชีวิตเดียวสนุกไปกับมันซะ ดีก็ทำต่อไปแย่ไม่ใช่ทางก็เปลี่ยนมุมมองซะใหม่ หนังดูเหมือนจะเป็นหนังชีวิตมากกว่าหนังรัก เหมาะกับคนที่พยายามแสว่งหาอะไรใหม่ในชีวิต เราคิดว่าหนังตอบโจทย์แน่
- สายหนังดราม่า
- สายหนังวัยรุ่น Coming Of Age
รีวิว / สรุปเนื้อหา
เคยตั้งคำถามกับเรื่องนี้ไปว่า Paper Towns หรือ เมืองกระดาษ ทำไมถึงต้องเป็นเมืองกระดาษ ในหนังก็ได้อธิบายความหมายของสิ่งนี้ไว้เหมือนกัน ส่วนเราคิดไปอีกแบบหนึ่ง เพราะหลังจากได้ดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว เมืองที่มีเพียงด้านเดียว ว่างเปล่า และพร้อมจะให้ใครก็ได้เติมแต่งมันลงไป หนังเรื่องนี้มีความเป็น Coming Of Age การที่เด็กได้เรียนรู้และก้าวผ่านช่วงเวลาเดิมๆได้เรียนรู้โลกแบบใหม่นอกกรอบ พวกเขาเลือกจะทำสิ่งที่ดูไม่ดีในสายผู้ใหญ่ เช่น ปาร์ตี้ครั้งแรก, ขโมยรถแม่เพื่อออกเดินทางต่างเมืองกับเพื่อนสนิท, โดดเรียน แถมเนื้อหายังสื่อสารถึงวิธีการมองตัวละครอื่นๆให้เราได้เห็นมุมมองของคำว่าเพื่อนไว้น่าสนใจ ตัวละครที่ดื่มเหล้าหนักดูเรื้อน คนบ้าบาหมกหมุ่นเรื่อง Sex ดูเหมือนเป็นคนไม่เอาไหนซะมากกว่า แต่จริงๆแล้วคนเรามันก็มีด้านลบเป็นเรื่องปกติ อยู่ที่ว่าสายตาของเราจะมองเพื่อนในมุมไหนก็เท่านั้น
หนังไม่ได้อยู่ในโทนดราม่าเรียกน้ำตาแบบ The Fault in Our Star เพราะภาพของหนังออกมาในทางหนังชีวิตซะด้วยซ้ำ หนังมีประโยคคำคมเยอะแยะมากมาย อารมณ์เหมือนปรัชญาชีวิตที่ถ่ายทอดผ่านตัวละคร และทำให้เราได้เรียนรู้ว่าชีวิตคนเรามันไม่ได้ง่ายด่ายและเราไม่ควรตัดสินใครจากพฤติกรรมภายนอก และควรจะเรียนรู้ตัวต้นที่แท้จริงของคนคนนั้นเสียก่อน ส่วนประเด็นความรัก หนังเล่าได้โอเคมาก มันคือการปล่อยให้ตัวละครได้เติบโตไปพร้อมกับประเด็นความรักและความชัดเจนในการใช้ชีวิต พระเอกเลือกจะมองดูการเติบโตของผู้หญิงที่เขาชื่นชอบซึ่งเธอคนนั้นกำลังค้นหาตัวต้นที่แท้จริงอยู่ว่า โตไปแล้วเราต้องการชีวิตแบบไหนกันแน่ หนังจึงไม่มีสูตรสำเร็จตามตัว และเนื้อหาก็บอกผู้ชมว่าช่วงวัยรุ่นเราคงต้องหาคำตอบให้ตัวเองว่าเราอยากมีความสุขแบบไหน เพราะการค้นหาตัวเองมันไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าเกิดเดินผิดพลาดก็ค้นหาใหม่เปลี่ยนเส้นทางดู ผิดหวังเล็กน้อยแต่ดีกว่าหลงทางเพราะโลกแบนๆใบนี้มันกว้างมีอะไรให้เราทำได้เยอะแยะ หนังเลยมีความติส์พอควร
นักแสดงนำ 2 คนมีบทบาทสำคัญในการดำเนินเรื่อง Cara Delevingne และ Nat Wolff สามารถผลักดันเนื้อหาและทำให้ผู้ชมได้คิดตามว่าชีวิตวัยรุ่นที่มีความสุขนั้น เราแค่ต้องการทำอะไรกันแน่ เราต้องอยากทำตามความฝันจริงๆหรือเปล่า หนังมี Message ดีๆที่ย้ำเตือนเราอยู่เสมอว่าเวลาชีวิตคนมีไม่มากเราแค่เดินหน้าไปกับสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขก็พอ ส่วนที่เหลือมันก็เป็นแค่จังหวะของชีวิต ความแก่นของดารานำช่วยให้บทหนังเพลิดเพลินมาก เมื่อเราได้กลับมาดูอีกรอบ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังดัดแปลงมาจากนิยายของ John Green คนที่เขียนหนังสือ The Fault in Our Star
- Cara Delevingne คว้าบทนางเอกไปครองเพราะ Shailene Woodley ติดถ่ายหนัง The Divergent Series: Insurgent