Armageddon (1998)

อาร์มาเกดดอน วันโลกาวินาศ

Armageddon Poster
8/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังดาวหางถล่มโลก ของไมเคิล เบย์ในยุคที่ทำหนังสนุกอยู่ ยิ่งใหญ่อลังการและเต็มไปด้วยความบันเทิง

หมวดหมู่ : Action Adventure Sci-Fi
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Michael Bay
ความยาว : 2 ชั่วโมง 31 นาที
นักแสดงนำ : Bruce Willis, Billy Bob Thornton, Ben Affleck

คำคมจากภาพยนตร์

“I gotta go now, honey.”
“ฉันต้องไปแล้ว ที่รัก...”

เรื่องย่อ

เมื่อดาวหางขนาดยักษ์กำลังจะพุ่งเข้าชนโลก เวลาที่เหลือมีอยู่แค่เพียง 18 วันเท่านั้น แฮรี่ สแตมเปอร์ และลูกทีมที่เป็นนักขุดเจาะแท่นน้ำมันมืออาชีพ จึงเป็นความหวังเดียวของโลก ที่จะต้องรับภารกิจจากทาง NASA เพื่อฝึกฝนทักษะนักบินอวกาศ จะได้ขึ้นไปขุดฝังระเบิดนิวเคลียร์จากภายในดาวหางให้แตกออกจนหลีกเลี่ยงการชนโลกไป จนเกิดเป็นภารกิจสุดระห่ำเพื่อช่วยโลกจากภัยพิบัติในครั้งนี้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Armageddon จะเหมาะกับคนที่ชอบหนังภัยพิบัติล้างโลก ประเภทโลกจะแตก น้ำท่วม โลกจะล่มสลายอะไรทั้งหลายแหล่ โดยที่ไม่ต้องอ้างอิงกับความสมจริง หรือหลักวิทยาศาสตร์อะไรให้มากมาย แต่เน้นดูเอาบันเทิง ดูเอาลุ้นกับภารกิจตัวละครว่ารอดไม่รอด แบบหนังอย่าง 2012, The Day of the Tomorrow อะไรเทือกๆ นี้ ก็จะสนุกไปกับ Armageddon ได้ไม่ยาก

  • สายหนังภัยพิบัติล้างโลก
  • สายหนังแอคชั่นโลกแตก
  • สายหนังอวกาศ

รีวิว / สรุปเนื้อหา

อีกหนึ่งหนังที่สร้างความรู้สึกผิดที่ดูสนุกได้ในทุกครั้ง (Guilty Pleasures) สาเหตุอาจเป็นเพราะเราเห็นบทอันแสนกลวง แถมยังขี้โม้โดยไม่ค่อยสนใจหลักวิทยาศาสตร์ หรือแม้กระทั่งหลักความเป็นจริงสักเท่าไร แต่ใครจะแคร์ล่ะ ในเมื่อหนังมันทำออกมาได้สนุกและบันเทิงจัดเต็มได้ซะขนาดนี้ ด้วยความที่หนังยาวกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง เลยใช้เวลาในการปูเรื่องไปกับตัวละคร ค่อยๆ เห็นความสัมพันธ์ของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของพ่อ-ลูก หรือของคู่รัก ที่ทำให้คนดูค่อยๆ ซึมซับและผูกพันไปกับพวกเขาจะนำไปสู่เรื่องราวในตอนท้าย ซึ่งจะว่าอืดก็ไม่เท่าไร แต่จะว่ากระชับก็ไม่เชิงเหมือนกัน แต่หนังก็มีอะไรให้เราได้ติดตามอยู่ตลอด

แต่จะว่าไปการพูดถึงตัวบทหนังหรืออะไรก็คงไม่มีประโยชน์สักเท่าไร เพราะด้วยความที่ผู้กำกับเป็น ไมเคิล เบย์ แล้ว สไตล์หนังของเขาที่ออกมาก็ต้องโดดเด่นในเรื่องความแอคชั่น ระเบิดระเบ้อ ตู้มต้ามมันส์สะใจอยู่แล้ว ซึ่งหนังก็ทำในส่วนนี้ออกมาได้ดีมากๆ จนได้มีโอกาสเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสายนี้ ทั้งด้านเสียง ตัดต่อเสียง รวมถึง Visual Effects ไปอีก (แต่งานด้านเสียงก็ดันไปชนตอ อย่าง Saving Private Ryan ส่วน Effect ก็ไปชนกับฉากนรก สวรรค์ใน What Dreams May Come อีก) แต่ถึงอย่างไร ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคนดูได้เป็นอย่างดี จนสามารถสร้างอารมณ์ร่วมในฉากที่ชวนลุ้น หรือฉากเอาชีวิตรอดต่างๆ ได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากๆ

แต่ไม่ว่าจะมองยังไง เราก็ไม่สามารถพูดได้ว่ามันคือหนังคุณภาพ แต่ในทางกลับกันเราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เหมือนกันว่ามันคือหนังป็อปคอร์นที่สนุกและเต็มอิ่มไปกับความบันเทิงจนเป็นที่น่าจดจำได้เช่นกัน และมันก็ยังคงเป็นหนังอุกกาบาตถล่มโลกเรื่องแรกๆ ที่เรานึกถึงอยู่เสมอเมื่อพูดถึงหนังแนวนี้ รวมถึงเพลง I don’t want to miss a thing ของ Aerosmith ที่ยังประกอบเรื่องได้อย่างโดดเด่น และเป็นเพลงที่ขึ้นหิ้งติดหูมาจนถึงทุกวันนี้ได้เช่นกัน นับเป็นหนังอันดับต้นๆ ของผู้กำกับ Michael Bay ในยุคที่ยังดูสนุกอยู่ ก่อนที่หลังๆ จะเริ่มพังพินาศจนหาหนังแนวๆ นี้ของเขาไม่ได้อีกแล้ว

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • Nasa ได้เปิดหนังเรื่องนี้ในการ Training ระดับผู้จัดการ โดยผู้จัดการหน้าใหม่ทั้งหลาย ต่างจับผิดความไม่สมเหตุสมผลของหนังได้ถึง 168 อย่างเลยทีเดียว (ก็หนังบันเทิงอ่านะ 555+)
  • อีกเรื่องที่สวยกระแสคนดูมากๆ คือ Michael Bay เคยออกมาสัมภาษณ์ว่า Armageddon คือหนังที่ห่วยที่สุดของเขา จากเวลาสร้างแค่เพียง 16 สัปดาห์ เป็นงานที่ไม่แฟร์กับมากๆ (แต่คนดูกลับมองว่านี่แหละคือหนังที่สนุกของเขาอีกเรื่องเทียบกับผลงานยุคหลังๆ ที่แย่กว่านี้เยอะ 55+)