7เรื่องไม่เคยรู้จากtitanic01

7 เกร็ดที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนในมหากาพย์ Titanic

Titanic เป็นอีกหนังระดับ Epic สุดยิ่งใหญ่อีกเรื่องในยุค 90s และอาจจะกลายมาเป็นหนังคลาสสิคขึ้นหิ้งในโลกภาพยนตร์ได้ไม่ยากในอนาคต

ด้วยความเล่นใหญ่ของผู้กำกับ James Cameron ที่หยิบเอาโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ที่เรือโดยสารสุดหรูทอย่าง Titanic ที่กำลังเดินทางออกจากเมืองเซาท์แทป์ตัน ไปสู่มหานครนิวยอร์ค แต่กลับเกิดอุบัติเหตุชนกับภูเขาน้ำแข็งเสียก่อน และจมลงสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก ในวันที่ 15 เมษายน ปี 1912 จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นถึง 1,514 คน

ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถหยิบเอาพล็อตนี้ มาเป็นหนังแนวเอาชีวิตรอดสุดลุ้นระทึกก็ได้ แต่ James Cameron กลับมองมันต่างออกไป และเลือกที่จะทำให้มันเป็นหนัง Drama-Romatic ที่สะท้อนภาพความรักสุดยิ่งใหญ่ไม่แพ้ขนาดของเรือแทน จนประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ทั้งในแง่รายได้ และรางวัลที่หนังได้มาจากสำนักต่างๆ ด้วยความยิ่งใหญ่ของมันนั้น ก็ทำให้มีเกร็ดหนังและเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่มากมายเกี่ยวกับหนัง Titanic นี้ วันนี้โกดังหนัง จึงอยากเอาสิ่งเหล่านี้มาเล่าให้ฟังกัน หลายๆ เรื่องคุณอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่หลายๆ เรื่องคุณอาจจะยังไม่รู้ก็ได้ ลองมาดูกันเลย

1. “I’m the king of the world” ประโยคเด็ดที่เพิ่งคิดได้ตอนถ่ายทำ

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ KDN_Album01-1024x1024.png

อีกหนึ่งฉากที่น่าที่อาจจะดูไม่มีอะไร แต่ก็กลับกลายเป็นฉากที่มีพลังและเป็นที่น่าจดจำในโลกภาพยนตร์ ก็คือฉากที่ Jack กางแขนตะโกนว่า “I’m the king of the world.” ซึ่งก็ไม่ต่างจากฉากที่น่าจดจำอื่นๆ ในโลกภาพยนตร์ที่มักโผล่ขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจในตอนถ่ายทำ เพราะในตอนที่ถ่ายทำฉากนี้นั้น James Cameron ก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เขาให้ Leonardo DiCaprio ไปยืนอยู่หน้าเรือสักพัก ก็พบว่าหากไม่มีคำพูดอะไรมันคงแห้งสิ้นดี 

ในระหว่างนั้นทีมถ่ายทำก็ลองใส่ไปหลายประโยคมากๆ ในขณะที่แสงในการถ่ายทำกำลังจะหมดลงไปทุกที แต่ละประโยคที่ใส่เข้าปากนักแสดงก็ดูไม่มีพลังเอาเสียเลย จนสุดท้ายเขาก็เกิดไอเดียขึ้นและบอกกับ Leonardo ว่า “ฉันมีบางอย่างให้นายพูดมันออกไปในฉากนี้ นั่นก็คือ ‘I’m the king of the world’ จากนั้นกางแขนออกไปให้กว้างที่สุดในตอนที่พูด และดื่มด่ำกับบรรยากาศในช่วงเวลานั้นให้เต็มที่” จนได้ออกมาเป็นฉากที่เราเห็นกัน ซึ่งประโยคที่ว่านี้ติดอันดับที่ 4 ของ 100 ประโยคเด็ดที่สุดในโลกภาพยนตร์มาจนถึงทุกวันนี้

2. James Cameron ดำน้ำไปสำรวจซากเรือด้วยตัวเอง

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ KDN_Album02-1024x1024.png

ผู้กำกับ James Cameron เองก็เป็นอีกคนที่หลงใหลในการทำหนังโดยใส่ใจรายละเอียดมาก เพราะกับ Titanic เขาถึงกับดำน้ำลงไปสำรวจซากเรือถึง 12 ครั้งด้วยตัวเอง ร่วมกับทีมผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเก็บรายละเอียดของเรือที่จมลงอยู่ใต้น้ำ และพบว่ามันเป็นประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความอ่อนไหวมากๆ กับการได้เห็นซากของเรือจริงๆ แบบนี้ โดยแต่ละครั้งที่เขาลงไปใช้เวลาเกือบ 11 ชั่วโมง และมีต้นทุนกว่า $40,000 ต่อครั้ง โดยมีครั้งหนึ่งที่เขาเกือบตายจากการดำน้ำจากกระแสน้ำใต้น้ำบริเวณนั้นด้วย

โดยเป้าหมายของการลงไปก็เพื่อเป็นการเก็บรายละเอียดต่างๆ ทั้งสภาพห้อง การตกแต่ง ซึ่งหลังจากครั้งแรกที่เขาลงไปนั้น เขาก็กลับขึ้นมาด้วยน้ำตาที่เศร้าเสียใจไปกับโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ และใช้เวลาไปกับการสำรวจเรือมากกว่าผู้โดยสารที่ยังรอดชึวิตเสียอีก

3. มีการทดลองว่า Jack สามารถรอดได้

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ KDN_Album03-1024x1024.png

เป็นที่พูดถึงมาโดยเสมอ ถึงฉากสุดซึ้งในตอนสุดท้าย ว่าสุดท้ายที่ Jack ตายนั้น มันควรเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรอ เมื่อคนดูต่างเห็นถึงขนาดของประตู และเห็นพื้นที่ที่เหลือ รวมถึงการจัด Position เพื่อให้พวกเขาทั้งคู่ สามารถอยู่บนนั้นได้ และที่ลึกไปกว่านั้น ก็ยังคงมีการคำนวณไปถึงน้ำหนักของทั้งคู่ ว่าบานประตูนั้นจะรับได้หรือไม่

ซึ่งในช่วงปี 2012 ก็ได้มีรายการ “Mythbusters” ที่เป็นรายการที่พยายามพิสูจน์ทฤษฎีจากเรื่องเล่าและตำนานต่างๆ รอบโลก ก็ได้ทำการทดลองเอาไว้ใน Season 10 ที่ Episode 14: Titanic Survival (https://www.youtube.com/watch?v=JVgkvaDHmto) รวมถึงพูดคุยกับผู้กำกับ James Cameron ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังแล้ว ก็กล่าวว่าวัสดุไม้ที่ทำประตูก็มีผลมากๆ เพราะไม้ที่มีความหนักมากๆ แบบในหนัง หากขึ้นไป 2 คนก็น่าจะจมลงไปอยู่ดี แม้ว่าที่จะพอก็ตาม แต่จากการทดลองแล้ว เราก็น่าจะเห็นได้แหละว่า Jack ก็น่าจะมีโอกาสรอดได้จริงๆ นั่นแหละ แต่หากมองในแง่ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนรักแล้ว Jack อาจจะยังคงเลือกการเสียสละชีวิตแบบในหนังก็ได้

4. ฉากคู่รักสูงวัย มาจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริง

inside Titanic 05

อีกหนึ่งฉากที่ซาบซึ้งใจใน Titanic คือการได้เห็นหลายๆ คนรับมือกับวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักดนตรี ครอบครัว หรืออะไรต่างๆ รวมถึงที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือคู่รักที่สละชีพพร้อมกันด้วยความรักเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งคู่นี้ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริงอย่าง Isidor และ Ida Straus คู่สามีภรรยาระดับ First Class ที่ออกมาท่องเที่ยวพอดี

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนั้น ทางภรรยา Ida นั้น ได้รับสิทธิขึ้นเรือชีพไปก่อน เพราะเป็นผู้หญิง แต่สุดท้ายเธอกลับเลือกที่จะไม่ขึ้นไป เพราะ Isidor สามีของเธอไม่ได้มาด้วย แม้ว่าทางเจ้าหน้าที่จะอนุโลมให้กับ Isidor ในฐานะคนมีอายุก็ตาม แต่สุดท้าย Isidor ก็ตัดสินใจให้โอกาสกับผู้อื่นก่อน และรอที่จะไปพร้อมผู้ชายคนอื่นๆ จน Ida ก็ตัดสินใจกลับมาอยู่กับเขา และให้สาวใช้ของเธอขึ้นเรือชูชีพไป โดยคำพูดสุดท้ายที่สาวใช้ได้ยินนั้น ก็คือสิ่งที่ Ida พูดกับ Isidor ว่า “พวกเราก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ฉันก็จะไปด้วย” ซึ่งประโยคหลังก็กลายมาเป็นประโยคของ Rose ในหนังด้วยนั่นเอง

5. บท Jack กับ Rose มีโอกาสเป็นของใครถ้าไม่ใช่ Leo กับ Kate

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ KDN_Album05-1024x1024.png

ในตอนแรกนั้น Madonna เองก็ยังเคยถูกพิจารณาในบทนี้ ด้วยการที่เธอเพิ่งได้รางวัลลูกโลกทองคำสาขานำหญิงยอดเยี่ยมมาครองในหนัง Evita เมื่อปี 1996 เลยนับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย รวมถึงดาราที่ดังๆ ในยุคนั้น ต่างก็เข้ามาแคสในบท Rose กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Nicole Kidman, Jodie Foster, Cameron Diaz, Gwyneth Paltrow (ที่เรานึกภาพพวกเธอเป็น Rose กันไม่ออกสักคน) แต่สุดท้าย Kate Winslet ในวัย 19 ก็กลายมาเป็นผู้คว้าตั๋วรางวัลขี้นเรือไปในครั้งนี้ โดยเธอส่งดอกกุหลาบ (Rose) ให้กับ James Cameron สำหรับบท Rose ด้วย

ในส่วนของฝ่ายชายก็เป็นการขับเคี่ยวที่เข้มข้นไม่แพ้กัน เพราะดาราดังๆ อย่าง Tom Cruise, Brad Pitt และ Jeremy Sisto ก็ได้เป็นตัวเลือกสำหรับบท Jack เหมือนกัน โดย Jeremy Sisto จาก Clueless นั้น ถึงขนาดได้เข้าไปแคสร่วมกับ Kate Winsltet แล้ว แต่สุดท้ายเคมีก็ยังไม่เข้ากันเท่าที่ควร และที่น่าทึ่งไปกว่านั้นแม้แต่ Matthew Mcconaughey ก็ยังเคยมาออดิชั่นในบทนี้ด้วยเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครชนะความใส และความสามารถของเฮีย Leo ไปได้

6. ภาพวาดเปลือยของ Rose ในเรื่อง วาดโดยผู้กำกับ James Cameron เอง

Insidetitanic06

ฉากวาดรูปเปลือยในเรื่องนั้นเป็นอีกหนึ่งฉากที่น่าจดจำ ด้วยความที่ Kate Winslet ยอมที่จะเล่นเปลืองตัว แม้ว่าจะเพิ่งเข้าวงการมาไม่นาน แถมยังต้องผ่านการละลายพฤติกรรมกับ Leonardo ก่อนเพื่อลดความกระอักอ่วนในการถ่ายทำ แต่สุดท้ายก็ได้ฉากที่สวยงามมากๆ มาอีกฉากหนึ่ง โดยเป็นฉากที่ Jack นั้นลงมือวาดภาพของ Rose ที่กำลังสวมสร้อยคอ Heart of the Ocean นั่นเอง (แต่หนังก็ยังได้ Rate PG-13 แม้ว่าจะมีฉากโป๊เปลือย แต่ไม่ได้มาจากการมีเพศสัมพันธ์ของตัวละคร)

แต่แม้ว่าในฉาก Leo จะเป็นคนวาด แต่ผลงานรูปที่ออกมาจริงๆ นั้น กลับเป็นผลงานการวาดโดยผู้กำกับ James Cameron เอง ซึ่งภาพที่วาดเขาก็ได้มาจากการขอถ่ายรูป Kate Winslet เอาไว้ในท่วงท่าต่างๆ โดยให้เธอใส่เป็น Bikini แทน และเขาก็จินตนาการส่วนที่เหลือเอาเอง จนได้เป็นภาพออกมาอย่างที่เราเห็นในหนัง ซึ่งสุดท้ายภาพนี้ก็ถูกประมูลออกไปเมื่อปี 2011 ในราคา $16,000

7. การสร้างหนัง Titanic ใช้งบสร้างมากกว่าการสร้างเรือ Titanic

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ KDN_Album07-1024x1024.png

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าการสร้างหนังระดับ Epic ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มีต้นทุนที่สูงยิ่งกว่าเรือ Titanic จริงๆ เสียอีก ในขณะที่ Studio ใช้ต้นทุนในการสร้างหนังนี้ที่ 200 ล้านเหรียญ (ซึ่งเทียบกับความยาวหนังกว่า 3 ชั่วโมง 14 นาที ก็เฉลี่ยตกนาทีละ 1 ล้านเหรียญพอดีในการสร้าง) ซึ่งก็นับว่าเป็นทุนสร้างที่สูง บนความใจป๋าของ 20th Century Fox และ Paramount Picture ที่ร่วมทุนกันสร้างขึ้นมา ด้วยความไว้ใจผู้กำกับชื่อดังอย่าง James Cameron

ซึ่งเมื่อเทียบกับต้นทุนของการสร้างเรือ Titanic ในปี 1912 ก็เป็นแค่ $7.5 ล้านเท่านั้น แต่ทางนิตยสาร Time ก็เคยออกมาคำนวณถึงเงินเฟ้อแล้ว ก็นับเป็นมูลค่าที่สูงถึง $180 ล้านเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ยังนับว่าน้อยกว่าทุนในการสร้างหนังเรื่องนี้อยู่ดี ส่วนผลตอบแทนก็นับว่าคุ้มค่าเมื่อหนังกวาดรายได้ในอเมริกาที่ฉายถึง $659 ล้าน ในขณะที่ทั่วโลก $2.2 พันล้าน จนยืนหยัดเป็นหนังทำรายได้มากที่สุดในโลกอยู่นานหลายปีเลยทีเดียว