Snatch (2000)
ทีเอ็งข้าไม่ว่า ที่ข้าเอ็งอย่าโวย
คะแนน
โกดังหนัง
ที่สุดของการเขียนบทสุดเฉียบ มาสู่การเล่าเรื่องสุดชุลมุน ผ่านตัวละครที่มีเสน่ห์ กับความยียวนกวนประสาท พร้อมบทสนทนากวนส้น จนเป็น Masterpiece ของ กาย ริชชี่
คำคมจากภาพยนตร์
“You should never underestimate the predictability of stupidity.” “แกไม่ควรดูถูกความสามารถของการคาดเดาที่เกิดจากความโง่”
เรื่องย่อ
เรื่องราวของการปล้นเพชร 84 กะรัต สุดมั่ว ที่มีทั้งพ่อค้าเพชร, โจรกระจอก, นักพนัน, คนขายปืน, อดีตหน่วย KGB, โปรโมเตอร์มวนใต้ดิน, เจ้าของบ่อนสล็อต เข้ามาพัวพัน จนเกิดเป็นเหตุการณ์ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน จนยากจะคาดเดาว่าสุดท้ายแล้วเพชรจะตกไปอยู่ที่ใคร
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Snatch นั้น เป็นหนังที่ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามสไตล์ผู้กำกับ Guy Richie ที่สูงมาก ดังนั้น มันอาจจะไม่ใช่หนังสำหรับทุกๆ คน อย่างน้อยๆ ก็กับคนที่ไม่ชอบหนังที่ขับเคลื่อนด้วยบทสนทนา และเรื่องราวแบบกาวๆ ที่ลากไปสู่บทสรุปที่ชวนวายป่วง แต่สำหรับคนที่รู้จักกับ Guy Richie มาจากหนังก่อนหน้าของเขา หรือ ชอบหนังที่มากล้นไปด้วยสไตล์แล้ว นี่คือหนังที่จะตอบโจทย์คุณได้อย่างแท้จริง ไม่ต่างอะไรกับหนังอย่าง Lock, Stock and Two Smoking Barrels และ Trainspotting ที่ทำออกมาได้ดีงามกว่าด้วยซ้ำ
- สายหนังกายริชชี่
- สายหนังสไตล์ยียวน
- สายหนังเน้นบทสนทนา
รีวิว / สรุปเนื้อหา
Snatch นี่เป็นหนังที่เอามาเล่าได้ยากมาก ขนาดว่าเรื่องย่อ ก็ยังคงใส่ได้ประมาณหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเล่ายังไงก็ดูเหมือนจะเป็นการสปอยล์และทำลายเสน่ห์หนังไปจนหมด ด้วยเรื่องราวสุดสลับซับซ้อน ประกอบกับตัวละครที่มีมากหน้าหลายตา ทำให้คนดูต้องตั้งสมาธิในการรับชมหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์ในหนังว่า ใครเป็นใคร เกี่ยวข้องกันอย่างไร และจะทำอะไร ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องปรบมือให้กับ Guy Richie จริงๆ ในการเขียนบทสุดเฉียบได้ออกมามาบ้าบอคอแตก และชุลมุนไปกับสถานการณ์มากๆ นอกจากนี้การกำกับก็ยังถ่ายทอดมันออกมาให้เข้าใจง่ายได้อยู่ตลอดทั้งเรื่อง
ด้วยการดำเนินเรื่องที่มีชั้นเชิง และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในแบบที่ถ้าใครไม่ชอบก็เกลียดเลย เหมือนอย่างหนังเล็กๆ เรื่องอื่นๆ ของเขา อย่าง Lock, Stock and Two Smoking Barrels ที่เน้นการเล่าเรื่องที่สลับซํบซ้อนผ่านทางบทสนทนายาวเหยียดของตัวละครเช่นกัน ซึ่งกับคนที่หลงรักสไตล์ของเขาแล้ว ก็รักหนังสไตล์นี้ของผู้กำกับ Guy Richie ได้ไม่ยาก แต่ในขณะเดียวกันนั้น คนที่มาดูแบบงงๆ ก็จะร้องอิหยังวะไปกับหนังทั้งเรื่องว่ามันต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ซึ่งเผอิญว่าเราดันอยู่ในส่วนแรกก็เลยแจกคะแนนให้กับหนังไปแบบไม่ต้องคิดมากนัก กับความบันเทิงที่หนังนั้นมอบกลับมาให้
ในแง่ของทีมดาราแต่ละคนก็ออกมาเท่ และปั่นประสาทดีมากๆ แม้ว่าสำเนียงของพวกเขาออกสไตล์ยุโรปฟังยากไปสักหน่อย (จริงๆ ก็ไม่หน่อยหรอก) แต่ก็เป็นเสน่ห์ให้กับหนังได้ไม่น้อย รวมถึงคาแรคเตอร์ของแต่ละคนที่ออกแบบมาได้น่าจดจำ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางดาราอีกมากมายก็ตาม แต่ทุกตัวก็สามารถเชื่อมโยงกันไปหมดได้สนุกดี นับว่าเป็นหนังสไตล์ตลกร้ายอีกเรื่องที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่น่าสนใจ และสร้างความบันเทิงได้เป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ก็ต้องย้ำอีกครั้งว่ามันอาจจะไม่ใช้หนังสำหรับทุกคนด้วยสไตล์เฉพาะตัวที่สูง หากไม่ชอบหนังประเภทยียวนบทพูดเยอะๆ อาจจะเกลียดมันไปเลยก็ได้ แต่สำหรับหลายๆ คนก็ต้องยกให้มันเป็น Masterpiece ของผู้กำกับ Guy Richie จริงๆ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- มีการใช้คำว่า Fuck ในหนังถึง 163 ครั้ง
- ความพังชิบหายวายป่วงของตัวละครที่เกิดขึ้นในหนังนั้น มาจากรายการตอนกลางคืน เกี่ยวกับอาชญากรรมต่างๆ ที่ผิดพลาดในโลกแห่งความเป็นจริง
- ในตอนแรก Brad Pitt ไม่อยากเล่นหนังเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าบทนักมวยของเขาจะซ้ำกับใน Fight Club เมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่ด้วยความที่เขาอยากร่วมงานกับ Guy Richie มากๆ ก็เลยออกมาอย่างที่เห็น