Django Unchained (2012)

จังโก้ โคตรคนแดนเถื่อน

Django Unchained Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

ครบรสตามสไตล์เควนติน ทารันติโน ดุเดือดเลือดสาดประกอบกับบทพูดสุดเฉียบ ในคาวบอยคู่หูสุดมันส์ พร้อมทั้งดาราระดับเกรด A

หมวดหมู่ : Action Drama
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Quentin Tarantino
ความยาว : 2 ชั่วโมง 45 นาที
นักแสดงนำ : Jamie Foxx, Christoph Waltz, Leonardo DiCaprio

คำคมจากภาพยนตร์

“Gentlemen, you had my curiosity, but now you have my attention.”
“ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย ตอนแรกพวกคุณแค่ทำให้ผมสงสัย แต่ตอนนี้พวกคุณทำให้ผมสนใจได้แล้วล่ะ”

เรื่องย่อ

จังโก้ ทาสผิวสีรายหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสพบกับ ด.ร. ชูลล์ นักล่าค่าหัว จนผันตัวมาร่วมภารกิจด้วยกัน และได้กลายเป็นหนึ่งในนักล่าค่าหัวด้วย ซึ่งหลังจากจังโก้นั้นได้หลุดพ้นจากความเป็นทาสแล้ว ก็มีความตั้งใจที่จะตามหาภรรยาของเขาที่พลัดพรากกันไปตอนถูกขายเป็นทาส และพบว่าภรรยาของเขาตอนนี้กลับตกไปอยู่ในน้ำมือของ คาลวิน แคนดี้ เจ้าของไร่ผู้เหี้ยมโหด ทั้งสองคนจึงต้องวางแผนกันเพื่อทำภารกิจช่วยภรรยาของจังโก้ให้รอดพ้นออกมาขากนรกบนดินให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Django Unchained ก็เป็นหนังอีกเรื่องที่ถึงอย่างไรแฟนคลับของ Quentin Tarantino ก็ต้องดูกันอยู่แล้วอย่างแน่นอน แต่สำหรับบางคนที่อาจจะหลงๆ มาเพราะชอบหนังแอคชั่นคาวบอยแล้วนั้นเรื่องนี้ก็ยังตอบโจทย์ได้มากอยู่ เพราะโทนตลอดเรื่องมันก็เป็นเช่นนั้น แต่เติมความแหวกแนวเข้าไปอยู่ไม่น้อย ทำให้บางจังหวะเราอาจจะได้ยินเพลงแรพเข้ามาในเรื่องอยู่หลายๆ ครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องนับว่ามันเป็นคาวบอยท่องโลกที่ดี มีประเด็นเหยียดสีผิวเข้มข้น รวมถึงยังอุดมไปด้วยดาราเกรด A มากมายจนไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ นอกเหนือจากหนังเควนตินเรื่องที่เหลือแล้ว ใครชอบหนังสไตล์คาวบอยตะวันตกอย่าง 3:10 To Yuma, True Grit ที่เพิ่มระดับความยียวนเข้าไปแล้ว เรื่องนี้คือโดนใจแน่นอน

  • สายหนังแอคชั่นเควนติน
  • สายหนังแอคชั่นชิงรางวัล
  • สายหนังสไตล์คาวบอย

รีวิว / สรุปเนื้อหา

หนังโคตรสนุกอีกเรื่องของผู้กำกับสุดยียวนกวนบาทา แต่ทำออกมากี่เรื่องก็เป็นหนังดีเสียหมดอย่าง Quentin Tarantino ที่คราวนี้ก็ได้หยิบเอาเรื่องราวสไตล์หนังคาวบอยคู่หู ที่มาพร้อมกับการเดินทางในยุคที่เต็มไปด้วยการเหยียดสีผิว ชนชั้น และเอาคนผิวสีมาเป็นทาส ออกมาเล่นได้อย่างมันส์ถึงใจ ทั้งตัวบทหนังที่เต็มไปด้วยประเด็นเหล่านี้แบบเข้มข้น ผ่านทางบทพูดต่างๆ ที่ทำออกมาได้ลื่นไหลเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนอีกอย่างของตัวผู้กำกับ จนแม้ว่าจะไม่ใช่ฉากแอคชั่น เราก็ยังสามารถสนุกไปกับบทสนทนาของแต่ละครที่พ่นใส่กันได้ตลอดทั้งเรื่อง

แต่ความแปลกอีกอย่างของหนังเรื่องนี้ ก็คือการดำเนินเรื่องแบบง่ายๆ ไม่ต้องใช้การแบ่ง Chapter ในแบบหนังเรื่องก่อนๆ ของเขา แต่ละอย่างก็เลยดำเนินตาม Timeline เวลาจากเก่าไปใหม่ตามลำดับ ต่างจากเรื่องอื่นๆ ของเขาที่จะใช้การแบ่งบท และอาจมีการสลับเรื่องราวไปมา แต่การดูง่ายก็ไมไ่ด้แปลว่าดูแย่ เมื่อการเดินทางของหนังก็เต็มไปด้วยความสนุกสุด โหด มันส์ ฮา ที่ใส่เหตุการณ์ต่างๆ ออกมาให้เราชวนลุ้นไปกับตัวละครได้อยู่ตลอดจนไม่สามารถคาดเดาชะตากรรมของพวกเขาได้เลยว่าภารกิจช่วยภรรยาของจังโก้นั้นจะสำเร็จได้หรือไม่ จนหนังเองก็ได้รางวัลออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมมาติดไว้ด้วย

ในส่วนของฉากแอคชั่น ก็ยังคงทำออกมาได้ดุเดือดเลือดพล่าน เลือดสาดกระจายตามสไตล์ของผู้กำกับอีกเช่นเคย ที่ไม่ว่าจะเกิดฉากฆ่าฟันกันทีไร เรามักจะได้เห็นเลือดที่กระฉูดอย่างสนใจอยู่เสมอ ในส่วนการแสดงของดารา ก็เรียกได้ว่าเป็นทีมงานชั้นดี สำหรับ 3 ตัวละครหลักอย่าง Jamie Foxx, Christoph Waltz และ Leonardo DiCaprio ที่กอดคอกันมาสร้างความบันเทิงให้กับหนังได้อย่างเต็มที่ ทั้งความดิบ เท่ของ Foxx ความยียวนของ Waltz และความอำมหิตเล่นใหญ่ของ Dicaprio แล้ว ก็ช่วยผลักดันหนังให้ออกมามีสไตล์จิ๊ดจ๊าดมากเลยจริงๆ จนนำไปสู่ฉากจบที่ทรงพลังสำหรับสายแอคชั่นดีเหลือเกิน

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ฉากที่ Leonardo DiCaprio ต้องเอามือทุบโต๊ะด้วยความเดือดดาลนั้น ก็ทำให้เขาพลาดไปโดนเศษแก้วชิ้นเล็กๆ จนเลือดไหลออกมา แต่เขาก็ยังไม่สนใจ และตั้งหน้าตั้งตาเล่นเป็นคาแรคเตอร์เป็น Calvin เอาไว้ได้โดยไม่มีหลุดเลย
  • Jamie Foxx นั้น นำม้าของตัวเองที่ชื่อว่า Cheetah มาใช้ในหนังเรื่องนี้ด้วย ซึ่งเขาได้รับมันมาเป็นของขวัญวันเกิดจากเมื่อประมาณ 4 ปีก่อนมาเล่นเรื่องนี้
  • Christoph Waltz ได้ปรากฏตัวในหนังถึง 1 ชั่วโมง 6 นาที 17 วินาที และกลายเป็นสถิติใหม่ในการขึ้นจอนานที่สุดที่เคยชนะรางวัลสาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยมจากออสการ์