West Side Story (2021)
เวสต์ ไซด์ สตอรี่
คะแนน
โกดังหนัง
หนังมิวสิคัลที่งานสร้างปังมาก บทเพลงฉากเต้นลงตัว พลังของนักแสดงทำให้เรื่องราวทุกอย่างดูเพลินตาครบเครื่องไปเลย
คำคมจากภาพยนตร์
"This is my first time in new york city I want to be happy here I want to make a life a home"
"นี่เป็นครั้งแรกของฉันในนิวยอร์กซิตี้ ฉันอยากมีความสุขที่นี่ ฉันอยากทำให้ชีวิตเหมือนดั่งบ้าน"
เรื่องย่อ
หนังดัดแปลงมาจากละครมิวสิคัลในปี 1957 ที่ว่าด้วยเรื่องราวความรักและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในมหานครนิวยอร์ก ระหว่างเด็ดเจ้าถิ่นดับคนละตินที่อพยพมาอาศัย กลายเป็นสังคมแย่งชิงความเป็นใหญ่ของผูมาก่อนและคนมาทีหลัง โทนี่ ชายหนุ่มจากแก๊งเจ็ตส์ ที่เพิ่งพ้นโทษจากคุกมาหมาดๆ เขาตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่มีเรื่องราวทะเลาะวิวาทกับใคร และได้มาตกหลุมรักกับ มาเรีย น้องสาวของหัวหน้าแก๊งละตินคู่อริ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น แต่ทั้งคู่รักกันจนยากจะถอนตัวไปแล้ว
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ West Side Story จัดว่าเป็นหนังมิวสิคัลย้อนยุคที่คอหนังเพลงหรือสายเต้นที่อินกับละครคงถูกใจแน่ๆ เพราะว่าหนังไม่ได้เลียนแบบงานเก่าจากต้นฉบับแต่เล่าเรื่องและตีความแบบใหม่เขาความขัดแย้งของกลุ่มคน 2 ฝั่ง พล็อตเรื่องสื่อสารเรื่องเชื้อชาติการดิ้นรนการต่อสู้ หนังเลยไม่ใช่พล็อตแบบเดิมๆทั่วไป แถมยังมีความละมุนละไมความโรแมนติกอีกด้วย องค์ประกอบที่ปู่ Steven Spielberg ปรุงแต่ง ทำเรื่องดูง่ายเข้าใจไม่ยาก เอาเป็นว่าคุ้มค่าและควรค่าแก่การชมมากๆ
- สายหนังละครเวที
- สายหนัง Steven Spielberg
- สายหนังย้อนยุค
รีวิว / สรุปเนื้อหา
แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะเคยถูกสร้างมาก่อนในยุค 60 เป็นผลงานที่ขึ้นหึ่งไปแล้ว แต่ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็ตีความเล่าเรื่องได้น่าสนใจมาก หนังนำพาเราไปสัมผัสนิวยอร์กในยุค 50 ดินแดนที่ใครต่างชาติใฝ่ฝันอยากย้ายมาตั้งต้นในเมืองแห่งนี้ แต่อีกนัยยะหนึ่งเนื้อหาก็บอกถึงความขัดแย้งทัศนคติมุมมองคนผู้คนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แก๊งค์คนท้องถิ่นพวกวัยรุ่นเหลือขอ และแก๊งค์เปอร์โตริโก ในสลัมในย่านเสื่อมโทรมของนิวยอร์ก คนอยู่มาก่อนก็อยากรักษาพื้นที่ตัวเองช่วงชิงความเป็นใหญ่เพื่อข่มคนอพยพที่พวกเขามองว่าคนต่างด้าว ย้ายมาเพื่อมาแสว่งหาสิ่งที่ดีกว่า กลายเป็นสงคราม ความขัดแย้งระหว่าง 2 เชื้อชาติ และหนังก็เสียดสีประเด็นนี้ได้แบบเฉียบขาด ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนกำแพงของคนต่างด้าว ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่มีวันจบสิ้น เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองต้องเหนือกว่าอีกฝ่าย ทั้งที่ชีวิตความเป็นอยู่ก็พอๆกัน
ประเด็นความขัดแย้งในหนังแล้ว สิ่งที่ทำให้ภาพของหนังดูบันเทิงต่อผู้ชมคือการเล่าเรื่องแบบมิวสิคัล ที่มาแย่างต่อเนื่อง มู้ดแอนด์โทนของหนัง ถูกสร้างขึ้นมาให้มีความคล้ายคลึงกับภาพยนตร์ในเวอร์ชั่นปี 1961 ก็ว่าได้ องค์ประกอบของหนัง ทั้งเนื้อเรื่อง บทเพลง ฉากๆ เหมือนสะกดคนดูในโรงได้อยู่หมัด เรากล้าพูดแบบนั้นเพราะ เพลงที่ถูกมาใช้ในแต่ละฉากดูลงตัวกลมกล่อมมาก เป็นหนังย้อนยุคที่เล่าเรื่องได้เร้าอารมณ์ไม่มีความเชยเลยสักนิด เซ็ตติ้การออกแบบท่าเต้นต่างๆ ทำออกมาได้เต็มที่ ดูสนุกสนาน นักแสดง สวมบทบาทร้องรำเต้นกันเต็มที่ การจัดวางเพลงกับเนื้อหาลงล็อค ทำให้ คอสตูมทุกอย่างช่วยขับเคลื่อนให้เนื้อหาดีงาม ฉากสำคัญที่เป็นไฮไลท์ที่คู่พระนางได้พบกันครั้งแรก มันช่างโรแมนติก ซึ่งโปรดักชั่นหนังเอื้อให้เกิดความโรแมนติก ที่สำคัญคือการแบ่งเฉดสี แบ่งโทนเสื้อผ้านักแสดงระหว่างคนอเมริกันและโทนสีของปอร์โตริโกดีมากๆ และมันก็บิ้วอัพให้ผู้ชมอย่างเราได้เข้าใจว่า ความเห้นต่างความขัดแย้งของคน 2 กลุ่มไม่มีวันมาจบร่วมกันได้
นอกจากประเด็นความขัดแย้งฉากมิวสิคัลที่ออกแบบดีแล้ว สิ่งที่ทำให้หนังน่าชมคือ การแสดงของ 2 พระนางนี่แหละ อารมณ์เหมือนรักต้องห้าม รักที่ต้องเสี่ยง อยากขอลองรักดูสักครั้งหนึ่ง พระเอกอย่าง แอนเซล เอลกอร์ต พลิกบทบาทสำคัญจากนักซิ่งใน Baby Driver กลายเป็นหนุ่มนักรัก ฝ่าฝันอุปสรรคเพื่อไปจีบนางเอก เขาสามารถร้องเพลงและเต้นได้ดีเกินคาด กลายเป็นว่าเมื่อมาเข้าฉากร่วมกัน ราเชล เซเกลอร์ นางเอกสาวกลายเป็นเคมีค่อนข้างลงตัวมาก ฝ่ายหญิงร้องเพลงได้เพราะมาก การแสดงร่วมกันท่องทำนองมีความลงตัว มันเลยกลายเป็นความรักต่างเชื้อชาตอที่ดูโรแมนติก ส่วนอีกคนที่ต้องชื่นชมคือ อาเรียโน เดอโบสกั ที่โชว์ทักษะการแสดงออกมาเพียบ ไม่ว่าจะร้องรำเต้นออร่ามาเต็มไม่เสียชื่อเลยที่ผ่านงานละครเวทีมาเล่นได้เป็นธรรมชาติ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังดัดแปลงมาจากละครเพลงบรอดเวย์ต้นฉบับซึ่งออกแสดงในปี 1957
- Rachel Zegler นางเอกของเรื่องไม่มีปัญหาในการพูดภาษาสเปนเพราะเธอมีเชื้อสายจากโคลัมเบีย
- นี่คือหนังเรื่องแรกที่พ่อมดแห่ง Hollywood Steven Spielberg ทำหนังสไตล์ Musical
- Steven Spielberg ใช้เวลา 5 ปีในการพัฒนาโปรเจ็ค