This Is the End (2013)

วันเนี๊ย… จบปะ

This Is the End Poster
8/10

คะแนน
โกดังหนัง

ตลกตั้งแต่เอาดาราทุกคนมาเล่นเป็นตัวเอง กับเรื่องราวที่โลกจะแตก มีดารารับเชิญออกมาเซอร์ไพร์ซแบบกาวๆ กันเพียบ

หมวดหมู่ : Comedy
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Evan Goldberg, Seth Rogen
ความยาว : 1 ชั่วโมง 47 นาที
นักแสดงนำ : James Franco, Jonah Hill, Seth Rogen

คำคมจากภาพยนตร์

"A huge earthquake happens, who do they rescue first? Actors. They'll rescue Clooney, Sandra Bullock, me. If there's room, you guys will come."
“เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ คิดว่าพวกเขาจะช่วยใครก่อน? นักแสดงไงล่ะ, พวกเขาจะช่วย คลูนี่ย์ ช่วยแซนดร้า บูลล็อค ช่วยฉัน, แล้วถ้ามีที่เหลือก็ค่อยถึงคิวพวกนายแหละ”

เรื่องย่อ

เมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่และเมืองกำลังจะแตกสลายนั้น เจมส์ ฟรังโก้ (ที่เล่นเป็นตัวเอง) และกลุ่มเพื่อนอีก 5 คน (จากในชีวิตจริง) ประกอบไปด้วย เซธ โรเกน, โจนาห์ ฮิว, เจย์ บารูเซล, แดนนี่ แม็คไบรย์ และ เคร็ก โรบินสัน (ทุกคนเล่นเป็นตัวเองเหมือนกัน) กำลังจัดงานปาร์ตี้อยู่ที่บ้านของ เจมส์ ที่ Los Angeles เลยติดแหงกอยู่ด้วยกันในบ้านนั้น ท่ามกลางทรัพยากรที่จำกัด ก็ทำให้พวกเขาเริ่มแสดงธาตุแท้ความเห็นแก่ตัวออกมา จนกลายเป็นบทพิสูจน์มิตรภาพของพวกเขา ที่จะนำไปสู่ความชิบหายวายป่วงขึ้นไปอีก

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ This Is the End ก็จะเหมาะกับคนดูที่คุ้นหน้าดาราพวกนี้ และสนุกไปกับหนังของพวกเขาในเรื่องก่อนๆ หน้า อย่าง Pineapple Express, Superbad หรือหนังตระกูลเสื่อมๆ ถ่อยๆ ทั้งหลาย เพราะหนังจะมาในโทนเดียวกันเลย ทั้งเรื่องราว มุขตลก คำหยาบ พฤติกรรมห่ามๆ ถ้ารับเรื่องพวกนี้ได้ และชอบแนวๆ นี้ก็แนะนำให้จัดกันได้ เพราะนอกจากหนังจะสนุกในแนวนั้นแล้ว ยังมีดารารับเชิญชวนกรี๊ดมากมาย แต่สำหรับคอหนังตลกใสๆ รับความเสื่อมไม่ค่อยไหว แนะนำให้ผ่านได้เลย เพราะอาจจะดูไปแล้วกระอักกระอ่วนกับความเสื่อมถ่อยของมันได้

  • สายหนังโลกาวินาศ
  • สายหนังตลกร้าย 
  • สายหนังเสื่อมติดเรท

 

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ลำพังแค่เห็นหน้าดาราที่ปก กับทีมคนเขียนบทก็พอจะเดากันได้ไม่ยากว่าหนังจะออกมาในรูปแบบไหน และมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากที่คิดเอาไว้นัก เพราะแค่ตัวดาราแต่ละคนที่ออกมาเล่นเป็นตัวเองนั้น ก็น่าจะระบุได้ถึงความกาว ห่าม ดิบ เถื่อน กันได้เป็นอย่างดี และไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้การเล่นเป็นตัวเองของพวกเขา มันกลับเป็นการดันคาแรคเตอร์แต่ละตัวให้ไปสุดได้อีก และบทสนทนาแต่ละฉากของเขาก็ดูเหมือนเป็นเพื่อนคุยกันจริงๆ จนทำให้คนดูน่าจะอินไปกับหนังได้ไม่ยาก แม้ว่าฉากหลังของเรื่องมันจะเป็นเรื่องของโลกาวินาศที่แฟนตาซีหลุดโลกไปเลยก็เถอะ ซึ่งนอกจากดาราในกลุ่มนี้แล้ว ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะมีดาราคนอื่นๆ ที่จะมาแชร์ความบ้าบอ โดยเฉพาะดารา เซเลบดังๆ หลายคนที่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ และยอมเล่นเป็นตัวเองกับเขาด้วย (ซึ่งจะเป็นใครบ้างนั้นก็ต้องลองไปดูเอาเอง รับรองว่าเหวอทุกครั้งที่มีดารารับเชิญออกมา)

จุดเด่นของหนังสไตล์แก๊งนี้ แน่นอนว่ายังคงเน้นในเรื่องความตลกจากบทสนทนา การจิกกัดแบบอเมริกัน และเสียดสีหลายๆ วงการอยู่เหมือนเดิม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ถูกถ่ายทอดมาจากคำพูดของตัวละครแต่ละคน จึงทำให้คนที่น่าพอมีพื้นฐานของ American Pop Culture ก็น่าจะเข้าใจและตลกไปกับหนังได้ไม่ยาก ซึ่งส่วนของมุขของหนังก็อาจจะไม่ได้ทำงานได้ดีกับทุกคน เพราะสำหรับคนที่ชอบมุข เถื่อนๆ ห่ามๆ อยู่แล้ว ก็อาจจะสนุกไปกับหนังได้ไม่ยาก ในทางกลับกันบางมุขก็เลยเถิดไป จนคอหนังตลกหลายคนก็อาจเกิดอาการกระอักกระอ้วนใจอยู่ไม่น้อยในบางฉาก จนทำให้ไม่สนุกกับมันไปเลยก็ได้

แต่ด้วยความที่หนังไม่ได้เล่นแค่เรื่องของความตลกเท่านั้น เพราะหากใครได้ดูจะพบว่าหนังมันไปไกลกว่านั้นมากๆ กับการที่โยนเรื่องเกี่ยวกับภัยพิบัติ เรื่องศาสนา หรืออะไรต่อมิอะไรจนทำให้หนังมันทะยานเกินจินตนาการไปไกลเหลือเกิน ซึ่งตัวหนังเองก็ทำออกมาได้สนุกกับความสัมพันธ์ตัวละครภายในบ้าน และยังสนุกยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อทุกตัวละครได้มีโอกาสออกมาเผชิญโลกข้างนอก จนทำให้หนังที่ดูเหมือนไม่มีอะไร กลายเป็นมอบความบันเทิงให้ได้มากมายเลยทีเดียว นับเป็นอีกหนึ่งหนังฮาๆ แบบกาวๆ ที่ควรค่าแก่วันเมาๆ กับเพื่อนสนิทเป็นอย่างยิ่ง

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • แม้ในแง่คุณภาพสำนักรางวัลต่างๆ อาจไม่ชายตามอง แต่สำหรับสำนักที่ตรงสายตลกอย่าง American Comedy Awards, USA นั้น ก็ได้ให้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมให้ Seth Rogen มาด้วย
  • บทพูดกว่า 50% ของหนัง ล้วนไม่ได้เป็นบทที่เตรียมมาก่อน และนักแสดงก็ด้นสดกันเอง จากความเป็นตัวเองล้วนๆ มันถึงได้ดูเป็นธรรมชาติมากๆ