The Wolf of Wall Street (2013)
คนจะรวย ช่วยไม่ได้
คะแนน
โกดังหนัง
หนังชีวประวัติสุดหวือหวา ประหนึ่งทีมงานอัดยาร่วมกันตอนทำหนัง
ถึงได้ออกมาบ้าคลั่ง บ้าพลัง จนได้ความสนุกล้นเหลือ
คำคมจากภาพยนตร์
“Sell me this pen.” “ขายปากกาแท่งนี้ให้ผมสิ”
เรื่องย่อ
จอร์แดน เบลฟอร์ต ตำนานหมาป่าแห่งวอลล์สตรีท ที่เริ่มต้นชีวิตจากนายหน้าค้าหุ้นไฟแรงใน Wall Street ที่เริ่มงานได้เพียงวันแรก ก็เจอเหตุการณ์อย่าง Black Monday ที่ตลาดหุ้นพังพินาศ ทำให้เขาต้องเริ่มหางานใหม่ ในบริษัทโบรกเกอร์บ้านนอกที่เอาหุ้นราคาถูกมาขาย จนเห็นช่องทางทำเงินเลยออกมาเปิดบริษัทของตัวเอง และรวบรวมคนสายละโมบโลภมากทั้งหลายเอาไว้ด้วยกัน ทำให้ทิศทางธุรกิจของเขาจึงไปในสายดาร์คเสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการหลอกขายหุ้นแย่ๆ ให้ลูกค้า หรือขายหุ้นปั่น ไปจนถึงการฟอกเงิน จนทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีในช่วงพริบตา ท่ามกลางการจับตาของ FBI ที่เห็นความผิดปกตินี้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Wolf of Wall Street นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนที่หลงใหลในหนังที่เกี่ยวกับเรื่องหุ้น หรือการทำธุรกิจก็ได้ แต่ถ้าใครอยากมาดูชีวิตคนๆ หนึ่งที่ใช้ชีวิตได้อย่างสุดโต่งจากความร่ำรวยที่มีอยู่ ว่าเอาตังไปละลายกับอะไรได้บ้าง อันนี้ก็ยังตอบโจทย์ เพราะหนังมันมีความบ้าพลังมากๆ ในการเล่าชีวิตคนธรรมดาๆ ที่มีตัง ได้ออกมาหวือหวา อู้ฟู่ ได้แบบชนิดที่เราต้องสนใจ นอกจากนี้เมื่อดูจบไปก็ไม่ได้จบเปล่าแต่ยังได้อะไรกับมาด้วย ด้วยความบันเทิงระดับนี้ 3 ชั่วโมงก็ไม่ถือว่ายาวจนเกินไป ถ้าใครที่ชอบหนังสายธุรกิจสีเทาไปจนถึงดำ แบบ War Dogs, Catch Me If You Can แล้ว เรื่องนี้ก็เหมาะอยู่
- สายหนังธุรกิจต้มตุ๋น
- สายหนังชีวประวัติที่น่าสนใจ
- สายหนังดราม่าบ้าพลัง
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ก่อนอื่นไม่ต้องกังวลว่ามันจะเป็นหนังว่าด้วยการเงินหรือหนังเชิงธุรกิจแบบจ๋าๆ เพราะจริงๆ แล้วหนังมันก็ไม่ได้ไปลงรายละเอียดอะไรกับธุรกิจมาก เพียงแต่ถ่ายทอดออกมาให้เข้าใจเบื้องต้นว่าไอพวกคนในนั้นมันทำอะไรกัน เพราะจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้มันก็ตีแผ่ถึงสันดานความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์คนหนึ่งเป็นแก่นของเรื่องนี่แหละ ซึ่งมันก็เริ่มต้นเล่าจากการเป็นปุถุชนคนธรรมดาของ Jordan Belfort ในสมัยที่ยังเป็นพนักงานต๊อกต๋อย ก่อนที่จะค่อยๆ ขยับขยายเข้าวงการความ “รวย” ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร
ซึ่งแม้จะเป็นหนังชีวประวิติแต่ก็เล่าออกมาได้หวือหวา บ้าพลังและชวนติดตามมากๆ ในทุกสเตปๆ ที่ความรวยและความโลภของตัวละครมีการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น หนังมันก็ค่อยๆ ทะยานความสนุกขึ้นไปตาม จนแม้ว่าหนังมีความยาวกว่า 3 ชั่วโมง ก็ไม่มีช่วงไหนที่น่าเบื่อ และไม่มีจุดที่รู้สึกว่ามันจะปรับโทนเรื่องให้แผ่วลงมาบ้างเลย ในทางกลับกัน พอยิ่งเล่า กลับยิ่งมันส์เข้าไปอีก โดยเฉพาะในช่วงการละลายเงิน และการใช้ชีวิตอันบ้าคลั่งของผู้ชายคนนี้ ที่หมดไปกับเหล้า ยา ปาร์ตี้ และผู้หญิงที่เรียกกันได้ว่าจัดหนักซะเหลือเกิน แต่เมื่อชีวิตของชายคนนี้ยิ่งทะยานไปได้ไกลสักเท่าไร คนดูก็อาจจะยิ่งเห็นว่าตัวตนลึกๆ ของเขาก็เริ่มห่างไกลกับความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ด้วยความดีดของหนังประหนึ่งซัดยามากันก่อนถ่ายทำ ก็ทำให้หนังนั้นทะยานเข้าชิง Oscar ไปได้ถึง 5 สาขา แต่ก็น่าเสียดายที่ชวดรางวัลมาหมดจากคู่แข่งที่โหดหินกว่าในปีนั้น ที่แทบไม่มีใครยอมใคร (และรางวัลที่คนเสียดายที่สุดก็คือนำชาย ของเฮียลีโอ) แต่ในเวทีลูกโลกหนังกลับได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในสาขา Comedy or Musical มาประดับเอาไว้ให้สมศักดิ์ศรี และรางวัลนำชายก็ลงที่เฮียลีโอด้วย ซึ่งส่วนตัวก็รู้สึกว่า แม้มันจะไม่ได้กวาดรางวัลใหญ่ในบางเวที แต่ด้วยความสนุก บ้าพลัง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความบ้าคลั่งของหนัง มันก็ยากที่จะทำให้หลายๆ คนมองข้ามมันไปได้อยู่ดี
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Jonah Hill ยอมลดค่าตัวของตัวเองเหลือแค่ขั้นต่ำที่ $60,000 เพราะอย่างเล่นหนังของปู่ Martin Scorsese มากๆ พร้อมทั้งยังทุ่มสุดตัวในการแสดง เพราะฉากที่ Jonah Hill ต้องสูดโคเคน (แต่ในหนังใช้วิตามิน B แทน) เขาก็อัดเข้าไปจนถึงขนาดหลอดลมอักเสพจนต้องเข้าโรงพยาบาลกันไปเลย แต่ผลที่ได้ในภาพรวมก็คุ้มค่า เพราะเขาถึงขั้นได้เข้าชิงออสการ์สาขาสมทบชายยอดเยี่ยมในปีนั้นด้วย
- ดาราอย่าง Margot Robbie ถึงขนาดออกมาบ่นว่าในฉากเลิฟซีนของเธอกับ Leonardo DiCaprio บนเตียงที่เต็มไปด้วยแบงก์นั้นเป็นอะไรที่ทรมานมาก เพราะแบงก์ปลอมมันบาดหลังเธอไปหมดในตอนถ่ายทำ แต่เฮียลีโอเองกลับเล่าอย่างติดตลกว่า จริงๆ แบงก์มันก็บาดเจ็บแหละ แต่นี่มันฉากที่ได้อยู่กับ Robbit ตอนเปลือยเชียวนะ ความเจ็บพวกนั้นก็ไม่น่าใช่สิ่งที่ต้องใส่ใจหรอก