The Point Men (2023)

ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก

The Point Men Poster
8.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

เป็นมากกว่าหนังช่วยเหลือตัวประกัน มันลุ้นระทึกกดดัน มีประเด็นการเมืองที่ซับซ้อน พอบทหนังอ้างอิงจากเรื่องจริงเป็นงานทริลเลอร์ชั้นยอด มีกลิ่นอายความเป็นงานสากลมากๆ

หมวดหมู่ : Drama Thriller
สัญชาติ : South Korean
กำกับโดย : Yim Soon-rye
ความยาว : 1 ชั่วโมง 48 นาที
นักแสดงนำ : Hyun Bin, Hwang Jung-min, Kang Ki-young

คำคมจากภาพยนตร์

"ถ้าเรายังฝืนทำภารกิจต่อ เรากำลังเอาชีวิตท่านทูตไปเสี่ยง"

เรื่องย่อ

จากเรื่องจริงเมื่อกลุ่มมิชชั่นนารีเกาหลีเผยแพร่ศาสนา 23 ชีวิต เข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามในอัฟกานิสถาน และโดนกลุ่มผู้ก่อการร้ายตาลีบันจับเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองกับรัฐบาลเพื่อแลกกับการปล่อยตัวนักโทษที่โดนจับอยู่ในเรือนจำ บรรยากาศที่ตรึงเครียดการเจรจาของทูตเกาหลีกับรัฐบาลไม่เป็นผล เวลาที่จำกัดแบบนี้ ทูตเกาหลีต้องจับมือกับสายลับเปิดการเจรจาต่อรองกับกลุ่มตาลีบันเพื่อช่วยเหลือตัวประกันรอดชีวิตกลับบ้านให้ได้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ The Point Men เป็นหนังที่เหมาะสำหรับกลุ่มคนที่ชอบงานลุ้นระทึกออกแนวช่วยเหลือตัวประกันที่ต้องแข่งกับเวลา พล็อตเรื่องมีความสากลไม่ได้เหมือนสไตล์เกาหลี โครงเรื่องสนุกบรรยากาศที่กดดันตัวละครต้องต่อสู้แข่งกับเวลาเพื่อชิงไหวชิงพริบเล่ห์เหลี่ยมกับผู้ก่อการร้ายที่สุดแสนอันตราย บรรยากาศออกแนวตรึงเครียดดราม่าบีบอารมณ์บีบหัวใจผู้ชม เรื่องราวสุดตื่นเต้นที่จับทางได้ยาก  ผู้ชมจะลุ้นตัวเกร็งไปกับฉากแอ็กชันและความกดดันที่เข้มข้น ไม่แปลกใจที่ผู้ชมเกาหลีชื่นชอบงานชิ้นนี้มากๆ

  • สายหนังชิงตัวประกัน
  • สายหนังทริลเลอร์
  • สายหนังเกาหลี

รีวิว / สรุปเนื้อหา

นี่คือหนังเกาหลีที่เปิดตัวรายได้อันดับ 1 ต้นปี 2023 บทหนังทำได้น่าสนใจ เมื่อมีพล็อตเรื่องที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริงทำให้เนื้อหาตื่นเต้น ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นที่ยิงกันตูมตาม แต่เป็นหนังที่เล่าเรื่องด้วยสถานการณ์ที่บีบขั้นกดดัน ผ่านตัวละคร 2 คนที่มีทัศนคติต่างกันสุดขั้ว ทูตนักเจรจาหมายเลข 1 ของเกาหลีที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาล แต่เขากลับไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับประเทศอัฟกานิสถานที่สุดแสนอันตราย กับสายลับเกาหลีที่แทรกซึมใช้ชีวิตอยู่ในละแวกอาหรับ ชำนาญในทุกๆวิธีใต้ดินเจรจากับโจร นักธุรกิจคนเลวทุกรูปแบบเพื่อให้ได้ข้อมูลเข้าถึงคนร้าย ชื่นชอบวิธีการนำเสนอที่พาแนวคิดคนที่มีวิธีการคนละแบบคนละวิธีแต่หาทางออกด้วยกันได้ ทำให้เราได้เห็นภาพทัศนคติมุมมองของคนเกาหลีที่พวกเขาเลิกวางอคติความไม่ชอบทำเพื่อชาติไว้ก่อนพาคนกลับบ้านให้ได้ เมื่อมองดูรายละเอียดเราจะพบว่าอัฟกานิสถานเป็นชนชาติที่ยากจะเข้าใจ และมีความซับซ้อน ไม่ได้มีแค่การเมืองที่มีหลากหลายพรรคพวก แต่ปัญหาของชนชาตินี้สะสมมานานเกินที่คนนอกจะไปยุ่งได้จริงๆ

ภาพของหนังเรื่องนี้ดูมีความเป็นสากลมากๆ การกล้าหาญวิพากษ์วิจารณ์ตัวละครออกมา ทำให้เราเห็นว่าโลกโลกอาหรับเป็นสถานที่ที่อันตราย เล่ห์เหลี่ยมจัดจ้าน ถ้าหากไม่มีผลประโยชน์มากรองตรงหน้ายากที่จะพูดคุยด้วยเหมือนเป็นเกมต่อรองเอาชีวิตผู้บริสุทธิ์เป็นเดิมพันที่ยืดยื้อกันไปมา หรือกลุ่มคนที่แฝงตัวหาผลประโยชน์เพื่อหวังฉวยโอกาสจากความยากลำบากในเกมจับตัวประกัน พอดูไปเรื่อยๆเราจะพบว่าหนังเองมีสถานการณ์ที่กดดัน ตาลีบันต้องการกดดันรัฐบาลใช้คนผู้บริสุทธ์เกาหลีใต้ไปกดดันผู้นำประเทศตัวเอง แต่ทางการดันกลัวเสียหน้ากลัวโดนด่าเพราะเสียภาพลักษณ์ไปคุยกับผู้ก่อการร้ายจะโดนคนอื่นประมาทที่ไปยอมอ่อนข้อต่อรองกับผู้ก่อการร้ายแบบนี้ หรือการที่สื่อในประเทศตัวเองประมาท คิดว่าคนอาหรับไม่เข้าใจภาษาเกาหลี กลายเป็นว่าเหตุการณ์ทุกอย่างตรึงเครียดเข้าไปใหญ่ นอกจากบรรยากาศหนัง โลเคชั่นหนังก็ทำออกมาได้น่าสนใจ การปรับประเทศจอร์แดนให้เป็นเหมือนอัฟกานิสถาน การปรับเฉดสีโทนภาพทำออกมาได้น่าทึ่ง ประเทศที่เต็มไปด้วยความโกลาหลแออัดดงระเบิด โจรเต็มไปหมด แถมจังหวะการดำเนินเรื่องซาวด์ประกอบน่าติดตาม

นอกจากนี้สิ่งที่น่าชื่นชมคือกลุ่มนักแสดงนำ โดยเฉพาะตัวละครหลัก Hwang Jung-min นักการทูตหนุ่มที่อาสาออกมาช่วยเหลือคนตาดำๆกลับบ้าน จากคนที่มีหลักการทำงานใส่สูทบนโต๊ะทำงาน ผู้ชายที่เชื่อมั่นในความถูกต้อง ตัวละครนี่สะท้อนถึงการทำงานของภาพรัฐที่ห่วงภาพลักษณ์เชื่อมั่นในวิธีการเดิมๆมากเกินไป ตลอดทั้งเรื่องได้เห็นมุมมองตัวละครนี้ที่แข็งอ่อนโยน สุดท้ายแล้วภาพลักษณ์ศักดิ์ศรีตัวตนไม่ได้สำคัญเท่ากับการช่วยชีวิตคน, Hyun Bin เหมือนเขาจะเหมาะกับบทสายลับไปแล้วจริงๆ บุคลิกเซอร์ๆดุดันปรับลุคโหดไม่เป็นสุภาพบุรุษจากซีรีส์ ผู้ชายที่มีตราบาปในใจจากการช่วยเหลือตัวประกันไม่ได้ สรรหาทุกวิธีช่วยเหลือตัวประกันยอมแลกทุกอย่าง ส่วนคนที่มาสร้างสีสันคือ Kang Ki-young ที่มารับบทล่ามหากินในมอัฟกานิสถาน ตัวละครนี่อาจดูคลายเครียดได้เยอะพอสมควร

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • หนังไปถ่ายทำที่ประเทศจอร์แดน และจำลองว่าเป็นอัฟกานิสถาน
  • ตอนไปถ่ายทำที่จอร์แดน เป็นช่วงโควิดล็อคดาวน์พอดี
  • ฉากขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามหุบเขา Hyun Bin แสดงด้วยตัวเอง