The Green Mile (1999)
ปาฏิหาริย์แดนประหาร
คะแนน
โกดังหนัง
ถ่ายทอดเรื่องราวดราม่าบนเรื่องปาฏิหาริย์ออกมาได้เป็นอย่างดี เดินเรื่องได้สนุกมากๆ แถมยังสอดแทรกประเด็นการตัดสินคนจากภายนอกได้เฉียบ
คำคมจากภาพยนตร์
“Sometimes the past just catches up with you, whether you want it to or not.”
“บางครั้งอดีตก็ยังคงตามมาหลอกหลอน ไม่ว่าเราจะต้องการมันหรือไม่ก็ตาม”
เรื่องย่อ
พอล เอ็ดจ์คอมบ์ หัวหน้าผู้คุมนักโทษประหาร ที่รับหน้าที่ดูแลนักโทษประหารผ่านเส้นทางที่ กรีนไมล์ หรือเส้นทางสีเขียว ออกจากกรงขังไปสู่แดนประหาร ตลอดชีวิตการทำงานของเขามีนักโทษคนหนึ่งนามว่า จอห์น คอฟฟี่ ชายผิวสีร่างยักษ์ ที่มีโทษคดีฆาตกรรมเด็กสาวสองคน แต่เมื่อเขาได้รู้จักกับจอห์น กลับพบว่าพฤติกรรมของเขาดูช่างตรงข้ามกับคดีที่ต้องโทษ ด้วยความอ่อนโยน สงบเรียบร้อย และมีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติในการช้วยเหลือผู้อื่น จนนำไปสู่การตั้งคำถามภายในจิตใจของพอลว่า จอห์น คือคนที่ทำผิดในคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ หรือไม่
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Green Mile เหมาะกับคนที่ชอบหนังฟีลกู๊ดดีๆ สักเรื่อง และพอมีเวลาว่างๆ สัก 3 ชั่วโมง ให้หนังได้ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ มาให้ หรือหากชอบในเรื่องของปาฏิหาริย์อยู่แล้วในเรื่องนี้ก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี และรับรองได้ว่าหากได้ดูหนังจนจบ ก็น่าจะมีหลายส่วนของหนังที่สัมผัสไปได้ถึงหัวใจแน่ๆ นับเป็นอีกหนึ่งหนังคุณภาพให้กับคอหนังดราม่า ที่มีลูกเล่นของเรื่องราวที่น่าสนใจ และมีอิ่มเอมมากๆ ที่ได้รับชม ซึ่งใครชอบหนังสายคุก อย่าง The Shawshank Redemption ที่เป็นผลงานเขียนของ Stephen King และกำกับโดย Frank Darabont ด้วยโทนเรื่องเกี่ยวกับคุกเหมือนกัน ต้องลองดูเรื่องนี้
- สายหนังรางวัลคุณภาพ
- สายหนังดราม่าปาฏิหาริย์
- สายหนังชีวิตในเรือนจำ
รีวิว / สรุปเนื้อหา
อย่างที่รู้กันว่า Stephen King ไม่เพียงแต่เป็นนักเขียนที่มากฝีมือในแง่ของความสยองขวัญเท่านั้น แต่ในมุมเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับปาฏิหารย์ หรือเรื่องราวดราม่าน้ำดี ก็นับเป็นอีก 1 แนวผลงานที่เขามีความโดดเด่นจนขึ้นหิ้งอยู่เช่นกัน อย่างเรื่อง The Green Mile ก็จัดอยู่ในหมวดนั้น ที่นอกจากจะเป็นงานเขียนที่ดีแล้ว ยังถูกนำไปถ่ายทอดเป็นฉบับหนังได้ดีเช่นกันด้วยฝีมือของผู้กำกับมากฝีมืออย่าง Frank Darabont (ที่เคยเอา Shawshank Redemption มาทำให้หนังติดอันดับ 1 IMDB มาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่มีฉากหลังในคุกเหมือนเดิม) และยังได้ดาราประทับตราหนังดีอย่าง Tom Hanks มาแสดงนำอีกด้วย (แต่คนที่ได้รับการชื่นชมมากกว่าจนได้เข้าชิงรางวัลในหลายสำนักกลับเป็น Michael Clarke Duncan ในบท จอห์น นักโทษร่างใหญ่ใจดี) จนไม่แปลกใจนักถ้าหนังอย่าง The Green Mile จะกลายเป็นอีกหนึ่งหนังคุณภาพชั้นดีอีกเรื่อง
โดยปกติแล้วสำหรับหนังที่ยาวมากเกินกว่า 3 ชั่วโมงแบบนี้ หากไม่มีอะไรดีพอ ก็คงจะเป็นความทรมานอันแสนสาหัสที่จะต้องรับชมให้จบท่ามกลางความเบื่อ แต่ปัญหาที่ว่านี้ไม่ได้เกิดขี้นกับ The Green Mile อย่างแน่นอน เพราะตัวหนังเล่าเรื่องออกมาได้สนุกมาก และใส่เหตุการณ์ที่น่าสนใจมาโดยตลอด ส่วนนึงเป็นเพราะหนังได้แบ่งตัวละครฝั่งดีกับฝั่งเลวเอาไว้อย่างชัดเจน ก็เลยได้บทบางส่วนที่ดูเป็นละครหน่อยๆ แต่ก็เป็นส่วนที่ทำให้หนังดูมีสีสัน มีความน่าสนใจมากขึ้น อีกทั้งในมุมแฟนตาซีที่เล่นในเรื่องของปาฏิหาริย์และความเชื่อในหนังก็ถูกเอามาใช้ได้เป็นอย่างดี เป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวคร และช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวได้มาก โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันหลุดโลกจนเกินไป
ด้วยบุคลิกของ จอห์น คอฟฟี่ ในภาพยนตร์ก็คงทำให้คนดูอย่างเราๆ รู้สึกไม่ต่างอะไรกับตัวละคร พอล สักเท่าไร ที่ตั้งคำถามว่า สรุปเหตุการณ์ในคดีนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และเหตุใดชายที่ดูเหมือนจะมีจิตใจที่แสนดีแบบดี ถึงได้กลายมาเป็นนักโทษประหารได้อย่างน่าประหลาดใจ ในส่วนประเด็นของหนังที่ว่าด้วยการตัดสินคนที่ภายนอก การเหยียดผิว แบ่งชั้นชั้น ก็ทำออกมาดี เข้าใจง่าย ย่อยง่าย จนสุดท้ายแล้วดูไปเราก็ต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องราวเรียบง่ายที่เกิดขึ้น แต่สัมผัสไปถึงหัวใจได้ดีเหลือเกิน นับเป็นอีกงานดราม่าดีๆ ของปู่คิงที่อยากให้ได้ลองรับชมกัน
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังเรื่องนี้ใช้ หนู จำนวน 15 ตัวในการถ่ายทำ แต่ละตัวใช้เวลาการฝึก 1 เดือนในการสร้างสรรค์ทักษะต่างๆ ออกมาตามที่เราเห็นแบบในหนัง
- The Green Mile เป็นหนังที่ผู้กำกับบอกว่า “นี่คือหนังที่สาแก่ใจที่สุดในอาชีพทำหนังของเขา”
- Stephen King กล่าวถึงหนังเรื่องนี้ว่าเป็นผลงานที่ซื่อตรงต่อต้นฉบับของเขามากที่สุด ใน DVD หนังเรื่องนี้