The Bourne Supremacy (2004)
สุดยอดเกมล่าจารชน
คะแนน
โกดังหนัง
หนังสายลับที่พลิกโฉมหน้าวงการ บทหนังเข้มข้น ฉากแอ็คชั่นมันส์ แฝงไปด้วยประเด็นทุจริตการหักหลังทรยศ แต่ที่ยอดเยี่ยมคือ Matt Damon ที่เล่นบทบู๊ได้เจ๋ง
คำคมจากภาพยนตร์
"Everything has changed when knowing the truth."
“ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อได้รู้ความจริง”
เรื่องย่อ
Bourne คิดว่าเขาสามารถหนีจากอดีตของเขาได้แล้ว แต่ทว่า อดีตของเขากำลังกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง เมื่ออยู่ดีๆมีลายนิ้วมือของเขาไปปรากฏในเบอร์ลิน หลังมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น แน่นอนว่าเขากลายเป็นเป้าหมายของ CIA และโดนตามล่าไปยังอินเดียจากบุคลิกปริศนาที่หวังฆ่าปิดปาก ทำให้เขาต้องออกไปค้นหาความจริงใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายเขาในครั้งนี้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Bourne Supremacy นั้นจะเหมาะกับคอหนังแอคชั่นสายลับอยู่แล้ว หรือกับคนที่เป็นแฟนตัวนิยายต้นฉบับมาก่อนก็น่าจะชอบในเวอร์ชั่นหนังนี้เช่นกัน เพราะด้วยความสนุกแบบหนังสายลับที่ไม่ได้เห็นมานาน ด้วยเนื้อเรื่องตามฉบับหนังจารชน ที่อาศัยการชิงไหวชิงพริบ และทักษะการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดก็ทำออกมาได้ดีเหลือเกิน จนไม่แปลกใจนักหากคอหนังสายลับในยุคหลังๆ จะเก็บ The Bourne Supremacy เอาไว้ในดวงใจมาโดยเสมอ ก็ถ้าหากใครชอบหนังสายลับโทนจริงจัง แบบ Bond ในยุค Daniel Craig แล้ว จะชอบหนังตระกูลนี้ไม่ยากเลย
- สายหนังแอคชั่นสายลับ
- สายหนังจารชนสุดมันส์
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ถ้ามองย้อนกลับไปดูหนังเรื่องนี้อีกครั้งเราจะพบว่านี่คือส่วนผสมชั้นดีที่หนังสายลับที่ควรจะมี ฉากแอ็คชั่นที่ลุ้นระทึก บทดราม่าที่กดทับเข้าไปยังความรู้สึกตัวละคร ลากยาวไปยังปัญหาที่ตัวละคร Jason Bourne พบเจอ ทำให้ไม่แปลกใจว่าทำไมผู้สร้างและมือเขียนบท James Bond ยึดหนังเรื่องนี้เป็นต้นแบบนำไปประยุกษ์ใหม่ จนกลายเป็นภาพที่ดิบดุดันของ Daniel Craig ใน Casino Royale ลักษณะท่าทางของ Bourne คือชายที่มีทักษะการเอาตัวรอดที่เหนือชั้นไหวพริบดี แก้ปัญหาเฉพาะหน้า หยิบจับอาวุธรอดด้านมาฆ่าคน แต่ที่ไม่เหมือนใครคือเก่งแค่ไหนก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด จากคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักนักฆ่าที่หวังปิดชีวิตเขา การวางโครงเรื่องนักฆ่าความจำเสื่อมที่ถูกหลอกใช้ให้ไปฆ่าคนตามเป้าหมายขององค์กร พอทำงานผิดพลาดโดนตามเก็บ วิ่งหนีเอาตัวรอด หนังภาค 2 ที่ Bourne อยู่เฉยๆกลายเป็นแพะรับบาปโดยที่ไม่ได้ทำอะไร พาเขาออกจากที่ซ้อนกลับไปสู่โลกภายนอกอีกครั้ง เราได้เห็นการจัดวางโลเคชั่นกับเนื้อหาหนังที่สอดคล้องกันบทหนังจากปลายปากกา Tony Gilroy มอบสถานการณ์ที่กดดันตื่นเต้นบีบคั้นไปในเวลาเดียว Bourne ต้องแก้เกมแก้ปัญหา จากสิ่งที่เขาไม่ได้สร้างไว้ หาตัวคนร้ายตัวจริง จากอินเดียไปเยอรมันมาจบที่รัสเซีย
หนังทำให้เราได้เห็นภาพว่าโลกในยุคต่อไป สายลับนักฆ่าผู้ร้ายตำรวจก็มีสถานะที่เป็นได้ทั้งคนร้ายและคนดีแฝงตัวปะปนกันไป Bourne ถูกมองว่าเป็นนักฆ่าที่กุมความลับยังไงก็ต้องถูกกำจัด แต่ในอีกมุมหนึ่ง องค์กรที่หวังปิดปากเขา กลับทำตัวหนีปัญหาลอยตัว เพราะคนมีอำนาจคิดว่าป้ายความผิดที่ตัวเองก่อไว้ให้คนอื่น มีอยู่ฉากหนึ่งที่ คนร้ายตัวจริงกดดันมากเลยพยายามขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรอีกครั้ง แต่อย่างที่รู้กันคนเราเมื่อมีผลประโยชน์เกาะกินกันมานาน เมื่อถึงเวลาวิกฤติก็พร้อมจะทิ้งกันได้เสมอ ไม่มีใครอยากจะจบเห่ไปด้วย ภาคที่แล้วว่าสนุก แต่ Supremacy ยกระดับความมันส์ทวีคูณเข้าไปอีก เป็นการสายต่อเรื่องราวได้สนุก หนังไม่ได้ใส่ฉากแอ็คชั่น แต่เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้ตามเก็บรายละเอียดระหว่างทางไปด้วย เพราะไม่ได้มีแค่ประเด็นไล่ล่า Bourne เท่านั้น แต่ยังมีคดีทุจริตของคนใน CIA รวมอยู่ด้วย ข้อดีของหนังภาคนี้คือการเล่าเรื่องที่ใกล้ชิดไปกับตัวละครหลัก และเมื่อหนังอยู่ในมือของผู้กำกับ Paul Greengrass ที่เคยผ่านงานเป็นนักข่าวภาคสนามมาก่อนทำให้เขารู้ดีว่าจะทำยังไงให้หนังออกมาลุ้นระทึก ฉากแอ็คชั่นดิบเถื่อน ไม่เน้นปืน บทสนทนา บทพูดคมคายมากขึ้น เฟรมภาพของหนังรวดเร็วมากๆ Oliver Wood คุมงานภาพจังหวะหนังออกมาดีทำให้ฉากที่รัสเซียเป็นความมันส์แบบที่ยังไม่มีหนัง Hollywood เรื่องนี้ทำได้มาก่อน
Matt Damon คือชายหนุ่มที่ทำให้หนังเรื่องนี้สนุกมาก ลบภาพจำพระเอกดราม่ากลายเป็นแอ็คชั่นสตาร์ ภาพของหนังจึงไม่ได้แค่ขายฉากบู๊ แต่เน้นการต่อสู้ในแง่ของการไขคดีไขหาความจริง นักฆ่าสายลับที่มาด้วยสไตล์วิ่งหนีซ่อนตัวในเงามืด คาแรกเตอร์นี้ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับเขาอีกแล้ว เลยเป็นการผลักดันให้ตัวละครอื่นมี Impact กับหนังไปพร้อมๆกัน เช่น Franka Potente รับบทเป็นแฟนสาว ผู้หญิงที่เคราะห์ร้ายเป็นแรงจูงใจสำคัญสำหรับหนังภาคนี้ หรือคู่ปรับที่ดูสมน้ำสมเนื้อ Karl Urban ที่ไล่ล่าไปแบบสุดขอบโลก, Joan Allen นักแสดงตัวแม่ที่มาขับเคลื่อนให้หนังภาคนี้ดูคลี่คลาย, Brian Cox ที่แสดงได้น่ากลัวหวาดระเวงไปในเวลาเดียวกัน กลุ่มนักแสดงชั้นนำเหล่านี้ช่วยทำให้หนังภาคนี้เลยเป็นการปูทางไปสู่การปิดไตรภาคที่มันส์สะใจใน The Bourne Ultimatum
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Matt Damon เกือบไม่ได้กลับไปถ่ายทำ Oceans 12
- ผู้กำกับควักเงิน 2 แสนเหรียญเพื่อเปลี่ยนฉากจบหนังตามใจ Matt Damon