Sonic the Hedgehog 2 (2022)
โซนิค เดอะ เฮดจ์ฮ็อก 2
คะแนน
โกดังหนัง
ระดับให้เนื้อหาไปได้ไกลแบบก้าวกระโดด แท็คติกลูกเล่นมากมายของตัวละครทำให้เกิดอารมณ์ขัน ฉากแอ็คชั่นก็ดูเพลินตาดี เอาเป็นว่าหนังดูได้ทุกเพศทุกวัย
คำคมจากภาพยนตร์
"Being a hero isn't about taking care of yourself. It's about taking responsibility for other people"
"คนที่เป็นฮีโร่น่ะ เขาไม่ได้ห่วงแต่ตัวเอง เขาต้องรับผิดชอบคนอื่นด้วยต่างหาก"
เรื่องย่อ
หลังจากตัดสินใจอาศัยอยู่ที่เมือง Green Hills โซนิกก็พร้อมสำหรับอิสระที่มากกว่าเดิม ทั้งทอม และแมดดี้ ต่างก็เห็นตรงกันที่จะให้เขาได้อยู่ที่บ้านคนเดียวในช่วงที่ทั้งคู่ออกไปเที่ยวพักผ่อนกัน แต่ทว่าเขากลับต้องมาเจอแขกไม่ได้รับที่เป็นคู่ปรับเก่า ดร.โรบอตนิก ที่คราวนี้เขากลับมาพร้อมกับพาร์ทเนอร์คนใหม่ นั่นคือ นักเคิลส์ กับภารกิจตามหา Emerald ที่มีพลังในการทำลายและสร้างอารยธรรมขึ้นมาใหม่ โซนิกต้องร่วมมือกับคู่หูของเขา เทลส์ ที่จะต้องออกผจญภัยเพื่อตามหา Emerald ให้เจอก่อนมันจะต้องไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Sonic the Hedgehog 2 กลายเป็นหนังที่อยู่ในกลุ่มเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี เป็นหนัง Family ไม่ต้องอิงแค่ว่าทำมาเพื่อเด็กเล็กๆดูเจ้าโซนิค แต่หนังยังตีโจทย์การเล่าเรื่องได้หรรษา ไม่ว่าจะเป็นการวางพล็อตเรื่อง ที่ให้วายร้ายน่ากลัว ฉลาดเจ้าเล่ห์ ตัวละครหลักที่ดูอ่อนหัด เนื้อหาเลยเป็นเสมือนว่าเราต้องลุ้นเอาใจช่วยให้โซนิคเอาตัวรอด แก้เกมอยู่ตลอดเวลา หนังไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก มีงานวิชวลเจ๋งๆ พล็อตเร่ื่องที่เอนเตอร์เทนคนดู ไม่ได้มีอะไรที่เพี้ยนๆเกินจริง หนังเลยดูได้ Connect กับคนดูทุกเพศทุกวัย
- สายหนังครอบครัว
- สายหนังเน้นหนังเอามันส์
- สายหนังที่ชอบงานที่ดัดแปลงจากเกม
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หลังจากปล่อยฉากจบที่เรียกเสียงฮือฮาในภาคที่แล้ว มาคราวนี้ Sonic 2 เลยยกระดับหนังขึ้นมาไกลกว่าเดิม หนังมีสีสันมากขึ้น ตัวละครใหม่ที่เพิ่มเข้ามาไม่ว่าจะเป็น เทลส์ และ นักเคิลส์ ที่ทำให้เราไม่ต้องไปโฟกัสที่ตัว โซนิค ให้เด่นอยู่คนเดียวอีกต่อไป ไหนจะรวมไปถึงการมาแก้แค้นของ ดร.โรบอตนิก เจ้าเก่าอีก ภาคนี้เลยกลายเป็นหนังฮีโร่ไปทันที เนื้อหาไม่ได้แปลกใหม่ แต่ความคิดสร้างสรรค์ของหนังที่ตีความออกมาได้น่ารักหรรษาไม่มีพิษไม่มีภัยต่อผู้ชม หนังมาในสไตล์ผจญภัย ผ่านตัวละครแม่น 3 ตัว ที่มีทักษะความสามารถทัศนคติที่แตกต่างกันสุดขั้ว เนื้อหาหนังสามารถผูกเรื่องระหว่างตัวละครโซนิค และ คนแสดงได้มีคุณภาพ หนังมาด้วยความกวนๆ มุกตลกอารมณ์ขันที่เหลือร้าย
การวางโครงเรื่องทำได้ดีตามมารฐานหนังสเกลใหญ่ จังหวะทุกอย่างลงล็อค งานภาพ การร้อยเรียงระหว่างคนแสดงกับงานคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ภาพที่ออกมาแนบเนียนกลมกลืนมาก หนังเองใช้งานภาพเทคนิค CGI ปล่อยหมัดเด็ด ของ โซนิค เทลส์ และ นักเคิลส์ ออกมาดีมากๆ ไหนจะเป็นตัวละครของ ดร.โรบอตนิก จากภาคเก่าที่ดูเพี้ยนมารอบนี้ฉลาดเจ้าเล่ห์มากขึ้นกว่าเดิม จริงๆแล้วหนังภาคนี้ตัวละครเดิมๆจากภาคแรกมีพัฒนาการเติบโตขึ้น โซนิค เองก็ต้องรับผิดชอบที่ตัวเองต้องช่วยเหลือผู้คน มีความเป็นฮีโร่มากขึ้น หรือการปรับตัวรับมือกับโลกในยุคปัจจุบันที่ยังคงมองเขาเป็นสัตว์ประหลาดอยู่จากทางการ ทั้งที่เขาเองก็ช่วยกอบกู้โลกจากภัยร้ายของ ดร.โรบอตนิก
ในพาร์ทการแสดงคนที่โดดเด่นที่สุดคือ จิม แครี่ นักแสดงชายที่มีข่าวว่าเตรียมอำลาวงการบันเทิงหลังอิ่มตัวกับงานภาพยนตร์ ไม่รู้ว่าเขาจงใจพูดออกมาเพื่อโปรโมตหนัง หรือเป็นข่าวในหน้าสังคม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภาคนี้ ดร.โรบอตนิก น่ากลัวมาก เขาใช้ความเพี้ยนๆความโลภกลโกงที่มีในตัว แสดงความเลวความร้ายกาจออกมา ฉลาดเรียนรู้ว่าจะเอาตัวรอดยังไงกับเจ้าแม่นโซนิคและพ้องเพื่อน ที่สำคัญคือมาแต่ละฉากแต่ละซีนทำได้ฮามากๆ เรียกว่าแคสติ้งคนได้เหมาะกับบทบาทนี้มาก ถึงจะเป็นวายร้ายแต่เกลียดเขาไม่ลงจริงๆ ส่วนทีมนักแสดงคนอื่นๆ กลุ่มนักพากย์เสียง ไม่ว่าจะเป็น เบน ชวาร์ตซ์, ไอดริส อัลบา และ คอลลีน โอ’ชอกเนสซีย์ ทุกคนถ่ายทอดน้ำเสียงออกมาได้เข้าขามาก รับส่งบทพูดกันได้เป็นทีมเวิร์ค พวกเขาสามารถสร้างอารมณ์ขันให้ผู้ชมได้ตลอดรอดฝั่ง ส่วนนักแสดงเวอร์ชั่นคนรู้สึกว่าคาแรกเตอร์ดร็อปลงไปจากเดิม ทั้ง เจมส์ มาร์สเดน และ ทิกา ซัมป์เตอร์ คงเป็นเพราะน้ำหนักในเรื่องไปลงที่ โรบอตนิก และ กลุ่มเพื่อนโซนิค ซะมากกว่า
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Jim Carrey ประกาศอำลางานแสดงในระหว่างเดินสายโปรโมตหนังเรื่องนี้
- ฉากเปิดเรื่องทีมงานจงใจเลียนแบบ Batman