Click (2006)

คลิก รีโมตรักข้ามเวลา

Click Poster
8/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังตลกน้ำดี ที่ดูง่าย ย่อยง่าย ได้อะไรกลับมาเยอะอีกหนึ่งเรื่อง
กับรีโมตมหัศจรรย์ ที่จะพาเราไปฮา และเรียกรู้ถึงสิ่งสำคัญในชีวิต

หมวดหมู่ : Comedy Drama Fantasy
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Frank Coraci
ความยาว : 1 ชั่วโมง 47 นาที
นักแสดงนำ : Adam Sandler, Kate Beckinsale, Christopher Walken

คำคมจากภาพยนตร์

“Every choice you make, everything you do, you’ll disappoint somebody but make sure you don’t keep disappointing the wrong people.”
“ในทุกทางเลือกที่เราตัดสินใจ ในทุกสิ่งที่เราทำ เราย่อมทำให้ใครหลายคนผิดหวังอยู่แล้ว แต่ขอให้มั่นใจว่า เราอย่าคอยสร้างความผิดหวังให้กับคนที่ไม่ควรได้รับสิ่งนั้น”

เรื่องย่อ

ไมเคิล นิวแมน สถาปนิกหนุ่มผู้มีภรรยาแสนสวย และลูกๆ สุดน่ารักอีก 2 คน แต่เขาเองกลับไม่มีเวลาให้กับครอบครัวมากนัก เพราะเขาเป็นพวกบ้างาน และทุ่มเทเวลาในชีวิตแทบทั้งหมดในชีวิตไปกับการทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อหวังว่าวันหนึ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น ด้วยความที่วันหนึ่งเขาเองก็อารมณ์เสียกับรีโมทที่บ้านที่มีเยอะแยะมากมายหลายชิ้น และแยกไม่ได้ว่าอะไรใช้กับอะไร เขาจึงไปหานักประดิษฐ์สติเฟื่อง ที่ทำรีโมทแบบครอบจักรวาล ที่สามารถปรับเวลาในชีวิตจริงได้ด้วย จนทำให้เมื่อเขานำมาใช้ เขาก็เริ่มใช้รีโมท เพื่อผลประโยชน์กับตัวเอง จนละเลยสิ่งสำคัญในชีวิตไปมากขึ้นเรื่อยๆ

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Click นั้น เหมาะกับคนที่หาหนังฟีลกู้ดดีๆ สักเรื่องที่อาจจะไม่ต้องชงเราเข้มไปถึงระดับหนังรางวัล แต่ยังต้องการความบันเทิงในรูปแบบที่ดูง่ายๆ สบายๆ แบบมีความคอมเมดี้เข้ามาด้วย เรื่องนี้จะตอบโจทย์มากๆ เพราะหากนับแล้ว มันก็ดูเป็นหนังในสไตล์ About Time ในฉบับที่ดรอปคุณภาพลงมาให้ดูเบาๆ กว่า แต่มันทำงานกับหลายๆ คนได้เหมือนกันเลย นั่นก็คือการเสียน้ำตาในช่วงท้ายๆ ของเรื่อง ซึ่งถ้าชอบหนังดีๆ ดูง่ายๆ สไตล์ Adam Sandler ในยุคแรกๆ แบบ Big Daddy หรือ 50 First Date แล้ว เรื่องนี้คืออีกหนึ่งผลงานระดับต้องดูของพี่แก้เลย

  • สายหนังตลกมีสาระ
  • สายหนังตลกอดัมแซนเลอร์
  • สายหนังฮาแฟนตาซี

รีวิว / สรุปเนื้อหา

อีกหนึ่งหนังที่หลายคนชื่นชมว่าดี จนดูแล้วน้ำตาไหล (รวมถึงเราด้วย) แต่คำวิจารณ์ของหนังและคะแนนในต่างประเทศกลับสวนทางเหลือเกิน ด้วยความที่โดยปกติแล้วเรามักมองว่าหนังของ Adam Sandler ในช่วงหลังๆ มักเต็มไปด้วยความไร้สาระ และบกพร่องในด้านความสนุกเป็นอย่างมาก เลยทำให้เมื่อเปรียบเทียบกับหนังในยุคก่อนๆ ของเขาอย่าง 50 First Dates หรือ Click อะไรแบบนี้ ก็นับเป็นหนังในยุครุ่งเรืองที่นอกจากหนังจะยังอยู่ในโทนสนุก ไม่ตลกโปกฮาเกินไป แต่ยังใส่สาระ และหัวใจให้คนอินกับหนังได้มากขึ้นด้วย 

ด้วยความแฟนตาซีของหนังที่ทำเอาฟังก์ชั่นของรีโมทในเรื่องออกมาค่อนข้างหลากหลาย ทั้งเร่งเวลาไปข้างหน้า ย้อนเวลาถอยหลัง หยุดเวลาทุกอย่าง หรือแม้แต่เพิ่ม ลด เสียงได้ เลยทำให้ในพาร์ทตลกของหนังจึงมีลูกเล่นมากมายในการสร้างเสียหัวเราะให้กับคนดูได้จากปุ่มต่างๆ ที่ตัวละครได้ทดลองไปกับสถานการณ์ที่ต่างกัน ซึ่งในส่วนนี้ก็ไม่แปลกใจนัก เพราะความตลกของ Adam Sandler อยู่แล้ว ก็ไม่แปลกที่เขาจะสร้างสรรค์อะไรแบบนี้ออกมาได้ 

แต่ในส่วนที่น่าสนใจของหนัง นั่นก็คือการพาคนดูดึงเข้าโทนดราม่าในช่วงท้าย ที่ทำให้หลายคนต้องเสียน้ำตา ไปพร้อมๆ กับการที่ได้ย้อนกลับทบทวนชีวิตตัวเองไปด้วย ว่าทุกวันนี้เราได้ละเลยคนสำคัญหรือสิ่งสำคัญในชีวิตไปกับการทำอย่างอื่นอยู่หรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่บ้างานมากๆ ก็น่าจะยิ่งอินมากขึ้น ซึ่งรีโมตในหนังนั้นจริงๆ แล้วก็มีต่างอะไรจากจิตใจของคน ที่เป็นคนเลือกเองทุกอย่าง ว่าเราจะมองข้าม มองผ่านอะไรในชีวิต เราจะใช้เวลากับอะไรเป็นสำคัญ เราจะเร่งเวลาไม่สนใจกับอะไรบ้าง ส่วนที่ต่างกันอย่างเดียวก็คือเมื่อเราใช้ชีวิตไปข้างหน้า แล้วไม่สามารถที่จะย้อนมันกลับแบบในหนังได้ ดังนั้นจงมีความสุขกับชีวิต และใส่ใจกับคนที่เรารักให้คุ้มค่ากับเวลาที่มีที่สุด นี่คือสิ่งที่หลายๆ คนน่าจะได้รับไปจากหนังเรื่องนี้ไม่ต่างกัน

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ด้วยความที่พล็อตของหนังเรื่องนี้ ดันไปละม้ายคล้ายกับเรื่องราวของ “Tales To Give You Goosebumps” ของ R.L. Stine ในปี 1995 จนทำให้ Adam Sandler และ Producer คนอื่นๆ ในหนังเกือบจะถูกฟ้องซะแล้ว แต่ยังดี ที่ทั้งสองทีมได้มาตกลงกันเพื่อหาทางออก ว่ามันเป็นความเหมือนโดยบังเอิญไม่ได้ตั้งใจจะลอกแต่อย่างใด สุดท้ายเลยไม่มีการฟ้องร้องใดๆ เกิดขึ้น
  • เพื่อเป็นการเอาฮานั้น ชื่อของทีมงานบางคนในหนัง ถูกเอาไปปรากฏที่หลุมศพในฉากท้ายๆ ของเรื่อง