Bridge to Terabithia (2007)

สะพานมหัศจรรย์

Bridge to Terabithia Poster
8.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

จากวรรณกรรมเยาวชนชั้นดีสู่จอใหญ่ ที่สะเทือนใจคนทุกเพศทุกวัย กับเรื่องราวที่ซ้อนทับกันของโลกแห่งความเป็นจริงและโลกในจินตนาการที่น่าสนใจ

หมวดหมู่ : Drama Family Fantasy
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Gabor Csupo
ความยาว : 1 ชั่วโมง 36 นาที
นักแสดงนำ : Josh Hutcherson, AnnaSophia Robb, Zooey Deschanel

คำคมจากภาพยนตร์

“Just close your eyes and keep your mind wide open."
“แค่เพียงหลับตา และเปิดใจให้กว้างๆ”

เรื่องย่อ

เจส เด็กหนุ่มที่มักถูกกลั่นแกล้งมาโดยตลอด และไม่สามารถเข้ากับใครได้ทั้งกับที่โรงเรียนและที่บ้าน จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้พบกับ เลสลี่ นักเรียนหญิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่ จนทุ้งคู่สร้างความสัมพันธ์นี่สนิทสนมกันขึ้นมา พวกเขาได้สร้างเมืองลับในจินตนาการที่ชื่อว่า “ทีราบิเธีย” ขึ้นมา ซึ่งจะเข้าไปได้จากการโหนเชือกข้ามไป พวกเขาได้ใช้เวลาในแต่ละวัน ในการใช้ชีวิตในโลกที่พวกเขาสองคนสร้างขึ้น ผ่านจินตนาการสุดแฟนตาซี และกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจจากโลกความเป็นจริงที่ทำร้ายพวกเขาอยู่เสมอ

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Bridge to Terabithia นั้น อย่าไปหลงผิดคิดว่ามันเป็นหนังเด็กแบบใสๆ ที่เข้าไปตะลุยในโลกแฟนตาซีสีสันสดใสในแบบที่เราเห็นในปกกันเชียว เพราะสุดท้ายแล้วกลับจะกลับกลายเป็นหนังแนว Coming-of-Age อีกเรื่อง ที่ให้เราได้เฝ้าดูพัฒนาการของตัวละคร ที่ใช้โลกจินตนาการมาเป็นเครื่องมือให้ได้เรียนรู้ชีวิต และเติบโตขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่งหนังจะออกมาในโทนที่หม่นๆ กว่าที่คิดกันเอาไว้แน่ๆ ใครที่ชอบหนังสไตล์วรรณกรรมเยาวชนที่โยงเข้าแฟนตาซีหน่อยๆ แบบ Peter Pan, Where the Wild Things Areหรือ Monster Calls แล้ว นี่ก็เป็นหนังดีๆ อีกเรื่องที่จัดอยู่ในหมวดเดียวกันเลย

  • สายหนัง Coming-of-Age
  • สายหนังดราม่าในวัยเด็ก
  • สายหนังโลกในจินตนาการ

รีวิว / สรุปเนื้อหา

แม้ว่าภาพลักษณ์ของหนังจะดูเป็นหนังแฟนตาซีโลกสวยสดใสไร้พิษภัย ด้วยหน้าปกของหนังที่แสดงให้เห็นถึง โลกในป่าอันสวยงาม ประกอบกับเรทหนังที่อยู่ที่ G เท่านั้น เลยทำให้หลายๆ คนมองข้ามมันไปเพราะคิดว่ามันเป็นหนังเด็กน้อยธรรมดาๆ เรื่องหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วมันสร้างมาจากวรรณกรรมเยาวชนชั้นดีอีกเรื่อง ของนักเขียนนามว่า Katherine Paterson ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ออกมาในปี 1997 ซึ่งเป็นระยะเวลาห่างกันถึง 30 ปีกว่าที่หนังออกฉาย ซึ่งตัวหนังนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวของชีวิตวัยรุ่น การเข้าใจโลก และการเติบโตได้เป็นอย่างดี

ตัวหนังเล่าเรื่องตามสไตล์หนังครอบครัวได้ออกมาเรียบง่าย ทั้งพาร์ทในชีวิตจริง ที่ทำให้เราเข้าใจสภาพจิตใจตัวละคร จากความเป็นอยู่หรือสิ่งที่พวกเขาถูกกระทำ จนแยกตัวออกมาจากสังคม และได้พบว่าสิ่งที่พวกเขาขาดไปในชีวิตนั้นก็คือ “เพื่อน” ที่จะคอยเข้าใจกัน และมีความคิดบางอย่างตรงกันจนจูนกันติด ซึ่งในส่วนนี้ก็คือ “จิินตนาการ” ในโลกของจินตนาการของทั้งคู่นั้น มันคือการปลดปล่อยอะไรบางอย่าง ที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ในชีวิตจริง ให้ได้มาทำที่นี่ เช่นการร่วมมือกันต่อสู้ และเอาชนะอสูรต่างๆ ในโลกนั้น เพราะในชีวิตจริงเขาถูกรังแกมาโดยตลอด ก็เป็นการสร้างความมั่นใจ และมุมมองของชีวิตมากขึ้น

แต่การเรียนรู้บางทีมันโหดร้าย ทำให้ในช่วงหลังจากมุมมองที่สดใสของพวกเขา จากในโลกจินตนาการก็ต้องเปลี่ยนไป และเข้าสู่โหมดที่ตัวละครได้เรียนรู้และเผชิญหน้ากับชีวิตจริงมากขึ้น พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องใช้โลกในจินตนาการให้มาเป็นภาพสะท้อนชีวิตจริงอีกต่อไป และได้ยอมรับความสุขและความเศร้าในแบบที่ชีวิตมนุษย์ต้องเผชิญ จนทำให้สุดท้ายแล้ว Bridge to Terabithia ไม่เพียงแต่เล่าถึงชีวิตในวัยเด็ก หรือโลกในจินตนาการเท่านั้น เพราะสุดท้ายมันก็กลายมาเป็นสองโลกที่ซ้อนทับกันจนสุดท้ายก็เหลือแต่โลกจริงที่ทำให้คนดูเรียนรู้และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และก้าวข้ามผ่านตวามสูญเสีย เรื่องเลวร้ายต่างๆ ในชีวิตไปด้วย

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ชื่อของ “Terabithia” ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชื่อเกาะ “Terabinthia” จากวรรณกรรมเยาวชนอมตะอีกเรื่องในชุด Chronocles of Narnia ของ C.S. Lewis
  • เนื่องจากสถานที่ถ่ายทำในประเทศ New Zealand นั้น ไม่มีกระรอกสักตัว ทำให้กระรอกในเรื่องต้องไปถ่ายที่อื่น ไม่ก็ใช้ CG แทน