5 เหตุผลที่ไม่ควรพลาด ฮีโร่หลายบุคลิก Moon Knight
เชื่อว่าหลายคนที่ดูซีรี่ส์อย่าง Moon Knight จบไปแล้ว น่าจะต้องชื่นชมซีรี่ส์เรื่องนี้กันอยู่ไม่น้อยทีเดียว และยังน่าจะคาดหวังให้มันมีซีซั่นต่อไปตามมาในอนาคต ด้วยความแปลกใหม่ที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงการค่อยๆ กระเทาะเปลือกจิตใจของตัวละครลงได้ค่อนข้างลึกในแบบที่ไม่ค่อยเห็นในซีรี่ส์เรื่องอื่นๆ ของค่ายนี้เท่าไรนัก ก็ไม่แปลกที่คนจะหลงรักมันอยู่ไม่น้อย
ซึ่งสำหรับคนที่ยังไม่ดู Moon Knight นั้น ซีรี่ส์เล่าถึง สตีเวน ชายหนุ่ม Loser ที่ทำงานเป็นพนักงานพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง เขามักมีอาการวูบไปโดยไม่รู้ตัว และอีกตัวตนของเขาก็ได้ใช้ชีวิตแทน จนกระทั่งเขามารู้ในภายหลังว่าเขานั่นมีอีกร่างในตัวที่ชื่อว่า มาร์ค ซึ่งเป็นตัวตนที่คอยทำหน้าที่ลงทัณฑ์คนชั่ว จนทำให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ส่วนจะเป็นยังไงต่อจากนี้ หวังว่า 5 เหตุผลที่เราเตรียมเอาไว้นั้น ทำให้แฟนเพจทุกคนต้องรีบไปเปิดดูในทันทีเลย
Oscar Isaac กับ 1 ในบทที่ดีที่สุดของเขา
เป็นที่รู้กันว่า Oscar Isaac เป็นดาราคุณภาพอีกคนที่เป็นที่จับตามองมาตั้งแต่หนังอย่าง Inside Llewyn Devis จนได้รับบทบาทในหนังใหญ่ๆ ระดับ Blockbuster มาโดยตลอดตั้งแต่ในหนังชุด Star Wars, X-Men และ Dune ที่แต่ละบทนั้นก็ถือว่าเด่นไม่น้อย จนกระทั่งได้มารับบทเด่นในซีรี่ส์ชุด Moon Knight นี้
ซึ่งเขาก็ทำมันออกมาได้ดีมากๆ กับการรับบทของ 2 ตัวละครในคนเดียวกัน ทั้งสตีเว่น และมาร์ค ที่บุคลิกต่างกันสิ้นเชิงจนทำให้คนดูแยกออกได้ชัดๆ รวมถึงสำเนียงแบบ British และ American ของตัวละคร เขาก็ทำออกมาได้ชัดเจนดีมากๆ
ซึ่งด้วยความซับซ้อนของตัวละคร และปมภายในจิตใจ ที่มาจากอดีตของเขา ก็ทำให้ตัวละครนั้นมีความลึกอยู่มาก แต่ Oscar Isaac ก็ทำให้เรานั้นเชื่อในตัวละครนี้เป็นอย่างมาก ไม่ต่างอะไรที่เรารู้สึกว่า Robert Downey Jr. เป็น Tony Stark หรือเชื่อว่า Chris Evan เหมาะสมกับบท Captain America เลย
ความเป็นอียิปต์แบบตรงสเปค จากผู้กำกับชาวอียิปต์แท้
หนังได้ผู้กำกับไฟแรงชาวอียิปต์ อย่าง Mohamed Diab ที่แม้ว่าจะยังไม่เคยมีผลงาน Hollywood มาก่อน แต่เชื่อได้ว่าหลัง Moon Knight จบไป จะต้องมีคนเอางานมาเสิร์ฟเขาถึงที่แน่ๆ ซึ่งความในใจของผู้กำกับเองก็คืออยากถ่ายทอดความเป็นอียิปต์ไปถึงคนดูแบบถูกต้อง ไม่ใช่ภาพซ้ำๆ ของทะเลทรายและพีรามิดซ้ำๆ ซากๆ ในแบบที่ Hollywood ใช้กัน
ทำให้ในแต่ละตอนเราจะได้เห็นดีเทล รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ใส่ใจหยิบมาเล่าอย่างพิถีพิถัน รวมถึงเกร็ดความรู้ต่างๆ ที่น่าสนใจด้วย เพราะเขาเองก็เคยออกมาด่าหนังอย่าง Wonder Woman 1984 ที่นำเสนอความเป็นอียิปต์ออกมาได้ลวกมาก จนเขาต้องมาจัดการให้เข้าที่เข้าทาง และนำเสนอแบบถูกต้องตรงสเปคด้วยตัวเอง
นี่ไม่ใช่ Superhero ในแบบที่เราเคยเห็นมาก่อน
โดยปกติแล้วพล็อตเรื่องของฮีโร่ นั่นก็คือตัวเอกที่ทำอะไรผิดพลาดลงไป แล้วค่อยมาเรียนรู้จนกลายมาเป็น Hero แต่เรื่องนี้ เรากลับแทบไม่ได้เห็นอะไรแบบนั้นเลย เพราะในร่างสตีเว่นเอง เขาก็ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นฮีโร่ด้วยซ้ำ ส่วน มาร์ค เองก็ดูเหมือนได้พลังมาจากการใช้กรรมที่ดันไปสัญญากับเทพเอาไว้ มันเลยออกมาในลักษณะของ Antihero เสียมากกว่า นับเป็นอีกมุมมองใหม่ๆ ของคนที่ได้พลังพิเศษมา แต่ยังไม่ได้เห็นการเอาไปช่วยคนสักเท่าไร เพราะแค่หนีจากการตามล่าก็แทบจะหมดเรื่องแล้ว
แน่นอนว่าการมี 2 บุคลิกในร่างอาจจะไม่ใช่อะไรใหม่สักเท่าไรนัก เพราะใน Venom ก็อาจจะมีมุมแบบนี้ แต่ว่าใน Moon Knight กลับทำออกมาได้ลุ่มลึกว่า และยิ่งเมื่อถึงตอนที่เราได้รับรู้ถึงอดีตของพวกเขาแล้ว ก็ยิ่งเห็นใจตัวละครได้อย่างเต็มที่กับปมที่ซีรี่ส์ปูเอาไว้ นอกจากนี้ฉากแปลงร่างและฉากแอคชั่นต่างๆ ก็ทำออกมาได้ดุเดือดสมกับความประหลาดของตัวละครดีจริงๆ
การเล่าเรื่องชวนฉงน อันเป็นเสน่ห์ที่ชวนติดตาม
แค่ตอนเปิดใน Pilot ตอนแรกนั้น ก็เป็นอะไรที่ชวนสับสนวุ่นวายอยู่พอสมควรไปกับการตัดสลับไปมา ผ่านมุมมองของสตีเว่น ที่อยู่ๆ ก็วูบและไปโผล่ที่นั่นที่นี่แบบไม่รู้ตัว แต่ไม่ใช่แค่ตัวละครที่งง เพราะคนดูเองก็งงไปตามๆ กันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำให้ในขณะที่หนังหรือซีรี่ส์เรื่องอื่นๆ นั้นพยายามจะขายฉากแอคชั่น แต่กลับเรื่องนี้มันกลับเลือกข้ามฉากแอคชั่นไม่ให้เราดูซะงั้น
แต่นั่นแหละที่เป็นเสน่ห์ไม่เหมือนใคร เพราะเมื่อภาพตัดกลับมาก็คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว และในช่วงหลังๆ นั้นมันก็ยังทำการสับขาหลอกเราไม่หยุด จนคนดูก็เริ่มคิดแล้วว่าสรุปแล้วมันบ้า หรือเราบ้ากันแน่ เพราะดูเหมือนเราจะเชื่ออะไรที่มันเล่าไม่ได้เลยว่าสรุปอะไรจริง อะไรหลอก และสุดท้ายเรื่องราวมันจะพาเราไปจบลงที่ตรงไหน
ส่วนผสมของความลึกลับสุดสยอง กับวายร้ายสุดเหี้ยม
ถ้าไม่นับ Doctor Strange: Multiverse of Madness แล้ว ตอนที่ Moon Knight มาก็น่าจะเป็นคอนเทนท์ของ Marvel เรื่องแรกๆ เลยมั้งที่ออกมามีโทนแบบสยองเหมือนหนัง Monster จากค่าย Universal ที่ทำให้เรานึกถึงหนังอย่าง Mummy ได้ไม่อยากเลย ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ และความสับสนของตัวละคร ไปจนถึงมอนต่างๆ ที่ออกมาได้น่าสนใจดี
แต่นั่นก็ยังไม่เหี้ยมเท่าฉากแรกของซีรี่ส์ที่เป็นการเปิดตัววายร้าย อย่าง ฮาร์โรล ที่รับบทโดย Ethan Hawke ที่เปิดมาก็เล่นซะชวนสยิวเท้ากันแล้ว แถมฉากหลังๆ เขาก็ยังรับบทนี้ได้อย่างคงเส้นคงวา และดูมีออร่าความอำมหิตดีเหลือเกิน จนตัวร้ายในเรื่องนี้ก็กลายเป็นอีกหนึ่งสีสันที่พอมาเอาผสมกับโทนสยองแล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวละครนี้มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน!