AndrewGrafieldMovie_00

ส่องหนัง Andrew Garfield กับรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมแห่งปี

หากจะพูด Spider-Man ขวัญใจใครหลายๆ คนก็น่าจะมี Andrew Garfield เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยลีลาที่เหมือนถอดแบบมาจากคอมมิค ความยียวนที่ไม่เหมือนใคร แถมยังมีพาร์ท Romantic ที่น่ารักและน่าสลดใจอีก ทำให้แม้ว่าในภาค The Amazing Spider-Man 2 นั้นจะยับเยินจากการใส่ประเด็นทุกอย่างมากเกินไป จนปิดประตูภาคต่อไปเป็นที่เรียบร้อย แต่มาจนถึงตอนนี้ก็เชื่อว่าเราอาจจะมีหวังได้เห็นภาคต่อกันมากขึ้น

แถมล่าสุดเขาเองก็เพิ่งได้รางวัลลูกโลกทองคำสาขาดารานำชายยอดเยี่ยมมาครองจาก Tick, tick Boom วันนี้อยากจะพาแฟนเพจโกดังหนัง มาส่องผลงานของหนุ่มหน้าหล่อ Andrew Garfield กันดูก่อนดีกว่าว่าทั้งก่อนหน้านี้ เขามีผลงานอะไรอยู่บ้าง  ซึ่งบอกเลยว่างานดีๆ เขาไม่น้อยเลย อาจจะเป็นเพราะการคัดเลือกหนังที่จะเล่นด้วย ทำให้เราแทบไม่เห็นเรื่องไหนที่ได้มะเขือเน่า หรือคะแนนใน imdb ต่ำกว่า 7 คะแนนเลย ซึ่งก้เหมือนเป็นการปูทางมาจนถึงตอนนี้ที่ทำให้เขากลายเป็นนักแสดงระดับรางวัลไปแล้ว หากใครที่สนใจอยากติดตามผลงานของเขาเพิ่ม ก็ลองมาดูกันได้เลย

Never Let Me Go (2010) – หนุ่มแสนเศร้ากับรักสามเส้า

AndrewGarfieldMovie_01

รุธ, เคธี่ และทอมมี่ เด็ก 3 คนที่ใช้ชีวิตเติบโตมาด้วยกันภายในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง พวกเขาต้องผ่านชีวิตที่เติบโตมาอย่างแปลกประหลาด จากกฏของโรงเรียนที่ห้ามไม่ให้พวกเขาออกไปข้างนอก ไม่เช่นนั้นจะถูกฆ่าตาย หรือกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้พวกเขาต้องดูและตัวเองเป็นพิเศษ จนกระทั่งเมื่อพวกเขากลายเป็นหนุ่ม สาว ก็ได้รับรู้ความจริงที่น่าเจ็บปวด ว่าแท้จริงแล้วชีวิตที่พวกเขามีนั้นกลับไม่ใช่ชีวิตของพวกเขาอย่างแท้จริง

หนังที่ปวดร้าวแต่น่าจดจำจากนิยายของ คาซุโอะ อิชิงุโระ ที่เคยมีผลงานเขียนชื่อดังอย่าง The Remains of the Day ที่เรื่องนี้เขาสร้างโลกสมมุติแบบไซไฟขึ้นมาได้อย่างสนใจ แต่ตัวหนังเองก็ไมไ่ด้เน้นเรื่องวิทยาศาสตร์อะไรขนาดนั้น แต่กลับพูดถึงความสัมพันธ์รักสามเส้าของตัวละครที่เติบโตมาด้วยกัน ไปจนถึงการสะท้อนชีวิตที่ถูกควบคุมและไม่ใช่ของตัวเองออกมาได้อย่างสะเทือนใจ อีกหนังที่รวมดาราดีๆ ที่อยากแนะนำ

The Social Network (2010) – เพื่อนรักแตกหักโหด

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก นักศึกษาไอทีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่เพิ่งถูกสาวบอกเลิกมาหมาด ๆ และด้วยความคึกคะนองเขาจึงแฮคเข้าไปในระบบของมหาวิทยาลัยเพื่อดึงรูปนักศึกษาสาวทั้งหลายมา เพื่อให้ผู้คนร่วมกันโหวตว่าใครสวย หรือฮอทกว่ากัน แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องอื้อฉาวแต่สุดท้ายผลงานก็ดันไปเข้าตาฝาแฝดคู่หนึ่งที่คาดหวังให้เขามาช่วยทำเว็บไซต์ฮาร์วาร์ดคอนเนคชั่น เพื่อเป็นชุมชนออนไลน์ของสถาบัน และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่นำมาสู่นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่อย่าง Facebook ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้

หนังที่เหมาะที่กับทุกคนที่ยังใช้เจ้า Social Media อย่าง Facebook ในทุกวันนี้ แล้วดันเกิดโมเมนท์สงสัยว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร และซีอีโออย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค เป็นคนแบบไหนแล้ว ก็ควรจะได้ลองมีโอกาสดูหนังเรื่องนี้สักครั้ง เพราะมันเล่าตั้งแต่จุดกำเนิดอย่างแท้จริง รวมถึงยังได้เห็นแนวคิดและทัศนคติต่างๆ ในการทำธุรกิจด้วย แต่จะเชื่อหนังมากน้อยขนาดไหนก็อีกเรื่อง เพราะตัวเรื่องราวเองก็ไม่ได้ออกมาจากปากเจ้าตัวโดยตรงแต่อย่างใด

Hacksaw Ridge (2016) – นายทหารผู้ไม่ฆ่าใคร

เดสมอนด์ ดอสส์ แพทย์สนามในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ออกรบในแนวหน้าพร้อมกับอุดมการณ์อันแรงกล้า พร้อมกับความเชื่อทางศาสนาคริสต์ของเขา ว่าจะไม่ขอจับอาวุธเพื่อคร่าชีวิตของผู้คน แม้ว่าจะอยู่ในแดนสงครามก็ตาม ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากปมในวัยเด็กของเขาเกือบพลาดพลั้งเป็นฆาตกรที่ฆ่าพี่ชาย และพ่อของเขาเอง จนทำให้ฝังใจไปถึงตอนที่จะต้องออกไปรบ ซึ่งก็กลายเป็นว่าขัดกับหลักของกองทัพอีก เขาจึงต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองว่า เขาเองก็มีหนทางของตัวเองที่จะช่วยชาติโดยที่ไม่ต้องฆ่าใครในสนามรบ

เรื่องนี้เหมาะกับคอหนังสงครามเป็นอย่างมาก และยังสะท้อนในมุมของคนที่ไม่เต็มใจจะฆ่าคน ว่าถ้าถูกโยนลงไปในสมรภูมิแล้วจะเป็นยังไง อีกทั้งหนังยังเต็มเป็นด้วยความรุนแรง  และภาพที่สะเทือนใจเป็นอย่างมาก สมกับเรท R ที่หนังได้รับมา ซึ่งหากคุณไม่ใช่สายโหดขนาดนั้น ก็อาจจะเป็นการทรมานตัวเองไปสักหน่อยกับฉากน่ากลัวเหล่านี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็นับเป็นหนังสงครามหรือ (Anti War) ที่ทรงคุณค่าอีกเรื่องของหลายๆ คน ที่อยากให้ได้รับชมเป็นอย่างยิ่ง และควรยกขึ้นหิ้งให้ทัดเทียมกับหนังรุ่นพี่เรื่องอื่นๆ ได้ไม่ยากเลย

Silence (2016) – บาทหลวงพิสูจน์ศรัทธา

เฟอร์เรียร่า บาทหลวงรุ่นใหญ่ผู้ที่เคยศรัทธาในศาสนาคริสต์อย่างหมดใจ กลับหายตัวไปอย่างลึกลับในระหว่างการไปเผยแพร่ศาสนาที่ประเทศญี่ปุ่น และส่งมาเพียงจดหมายกลับมายังคริสตจักร เพื่อแจ้งว่าเขาได้ละทิ้งศาสนาคริสต์ และเลิกนับถือในพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว จนทำให้ศิษย์ทั้งสองของเขาอย่าง บาทหลวงการูเป้ และบาทหลวงร็อดริเกซนั้นจึงต้องออกเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นเพื่อตามหาเฟอร์เรียร่า และตรวจสอบอีกครั้งว่าอะไรคือสาเหตุที่สิ้นศรัทธากันแน่ จนกระทั่งพวกเขาก็ได้เผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นเอง

อีกหนังของผู้กำกับรุ่นใหญ่อย่าง Martin Scorsese ที่มีเอกลักษณ์ในการทำหนังออกมาเข้มข้นจะเต็มเสมอ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ทำหนังที่เล่าถึงศรัทธาที่มีต่อพระเจ้า และศาสนาที่ถูกพิสูจน์ด้วยการทรมานทางกายและใจ จะทำให้ ‘ความเชื่อ’ ของคนที่มีนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร ซึ่งทีมดาราแต่ละคนในเรื่องก็จัดเต็มชวนอินมากๆ และความโหดร้ายในแต่ละฉากก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดี เป็นอีกหนังสายคุณภาพไม่ควรพลาดเลย

Breathe (2018) – หนุ่มอนาคตไกลป่วยติดเตียง

โรบิน คาเวนดิช และไดอาน่า คาเวนดิช คู่รักสองคนที่เพิ่งแต่งงานกัน และมีชีวิตรักที่ดูสมบูรณ์แบบ โดยโรบินเองก็ทำธุรกิจเสาะหาชาพันธุ์ดี และใช้ชีวิตผจญภัยมาโดยตลอด แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ต้องเจอกับข่าวร้ายที่เลี่ยงไม่ได้ เมื่อเขาพบว่าตัวเองเป็นปอลิโอตอนที่อายุ 28 ปี แทนที่เขาจะเศร้ากับชะตาชีวิต เขากลับเลือกที่จะเดินไปรอบโลกกับไดอาน่า แม้ว่ามันจะทำให้อาการของเขาทรุดลงก็ตามและเหลือเวลาน้อยลงก็ตาม แต่นั่นก็เป็นความปราถนาของชีวิตเขา

อีกหนังไล่บี้ขยี้น้ำตาที่ใครดูก็ยากที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าหนังได้รับแรงบันดาลใจจากคู่รักที่เกิดขึ้นจริง ที่ทำให้เราเห็นความรักของทั้งคู่นับตั้งแต่ช่วงก่อนแต่ง ไปจนถึงจุดที่ โรบิน เองต้องเผชิญกับสภาวะปอลิโอ จนทำให้เราเห็นถึงความยากลำบากของชีวิตคู่ที่ดูรันทดขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งดนตรีในเรื่องก็ยังเป็นเครื่องมือในการบิวท์ชั้นดี ที่ทำให้พาร์ทดราม่าของเรื่องเข้มข้นมาก และทีมดาราก็มีเคมีที่เข้ากันสุดๆ จากบทที่ปล่อยให้ทั้งคู่ใส่อารมณ์กันได้เป็นอย่างดี

Tick, tick Boom (2021) – ชายหนุ่มผู้ตามหาความฝัน

โจนาธาน ลาร์สัน นักแต่งเพลงหนุ่ม ที่ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร พร้อมกับความฝันในการที่จะเป็นนักเขียนบทละครเพลงชื่อดัง เขาจึงต้องจัดสรรเวลาระหว่างการทำงานโดยการสร้างสรรค์ผลงานไปด้วย แต่ชีวิตของเขากลับต้องเผชิญกับปัญหาที่รุมเร้าหลากหลาย ทั้งจากคนรอบตัว และปัจจัยภายนอกต่างๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่หยุดเขาจากความฝันและความทะเยอทะยานได้

หนังที่ส่งให้ Andrew Gardfield ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาดารานำชายยอดเยี่ยมมาครอง นี่คือหนัง Musical ที่สร้างแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดี กับการตั้งคำถามที่ว่า คนเรายอมแลกอะไรเพื่อทำตามความฝันได้บ้าง และเปรียบชีวิตที่เสมือนกับระเบิดเวลาที่ต่างต้องดิ้นรนใช้ชีวิตกับเวลาที่ไล่ตามเรามา ในขณะที่เราเริ่มมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็ยิ่งตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยครั้ง เหมาะกับคนที่ยังไม่รู้ว่าจะหาทางออกให้ชีวิตเพื่อไปตามหาความฝัน หรือจะทนอยู่ไปวันๆ หนังหยิบเรื่องราวของคนมีพรสรรค์ แต่ไม่กล้าลงมือทำอย่างจริงจังสักทีเลยเป็นเหมือนฝันลอยๆ พล็อตเรื่องเหมือนเป็นการตั้งคำถามกับตัวละครว่าทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ 2 มือเราเอง