9 หนังคุณภาพจาก Disney + ที่เราอยากแนะนำ

ผ่านไปแล้วเป็นเวลากว่า 3 เดือน ที่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเจ้าใหม่อย่าง Disney + เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ หลังจากแฟนหนังเฝ้ารอคอยมานาน ผู้คนมากมายได้เต็มอิ่มกับคอนเทนต์หนัง ซีรีส์ ที่อัดแน่นมาด้วยคำว่าคุณภาพ จาก Marvel, Star War, Pixar, Fox, National Geographic, เจ้าหญิงดิสนีย์งาน LIve Action มากมาย ด้วยความที่หนังมีเยอะเราเลยหยิบยก หนังดีมมีคุณภาพ 9 เรื่องเด็ดๆมาเสนออีกครั้งเพื่อหลายๆคนตกสำรวจไป

ซึ่งจากลิสต์รายชื่อ 9 เรื่องที่ว่ามานี้การันตีด้วยการพิชิตรางวัลสถาบันหนังต่างๆมากมาย ส่วนจะมีเรื่องไหนบ้าง ที่อยู่ในโผเลื่อนเมาท์ไปอ่านได้เลย

The Favourite (2018)

เรื่องราวในช่วงต้นของศตวรรษที่ 18 แม้สหราชอาณาจักรกำลังทำสงครามกับประเทศฝรั่งเศส แต่เศรษฐกิจในประเทศกลับเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การปกครองของ สมเด็จพระราชินีแอนน์ มี เลดี้ซาร่าห์ เชอร์ชิลล์ สหายหญิงคนสนิทเป็นทั้งที่ปรึกษาและผู้อยู่เบื้องหลังการดูแลการปกครองทั้งหมด แต่แล้วความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของทั้งสองกลับสั่นคลอน เพราะการมาเยือนของ อบิเกล มาแชม สาวใช้คนใหม่ที่วางแผนใช้เสน่ห์และเล่ห์เหลี่ยมสุดแพรวพราวพาตัวเองกลับไปอยู่ในสังคมชนชั้นสูงอีกครั้ง และเมื่อความขัดแย้งทางการเมืองดุเดือดมากยิ่งขึ้น อบิเกลจึงใช้โอกาสนี้ตีสนิทพระราชินีแอนน์ หวังก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งคนโปรดคนใหม่ และเธอจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาขัดขวางความต้องการของตัวเองอย่างแน่นอน

The Favourite คือหนังที่มีเนื้อหากัดจิกเสียดสีสังคมผู้ดีจอมปลอมที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดีชนชั้นสูง แกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน นี่คือหนังพีเรียดอังกฤษที่สะท้อนถึงสังคมผู้หญิงได้ดีไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนความอิจฉาริษยาให้ร้ายกันมีทุกยุคทุกสมัย หนังเรื่องนี่คือภาพที่สะท้อนความจริงให้ผู้ชมได้เห็นถึงความเปราะบางของตัวละครที่หลายๆคนมีความอ่อนแออยู่ในจิตใจตัวเอง และแสดงความร้ายกาจในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป หนังจึงเหมาะกับคนที่ชอบดูอะไรที่เล่าให้เห็นความจริงในสังคมโดยใช้บทหนังและฝีมือการแสดงของดาราชั้นนำได้แบบมีชั้นเชิงไม่ผิดแปลกเลยที่เข้าชิงออสการ์ทั้งที่หนังมาแบบไม่มีใครคาดคิดเลยด้วยซ้ำ และ Olivia Colman ก็ได้ออสการ์ในสาขานำหญิงยอดเยี่ยม

Free Solo (2018)

Free Solo คือภาพยนตร์สารคดีว่าด้วยเรื่องของชายหนุ่มผู้มีฝันที่ยิ่งใหญ่ Alex Honnold เขาฝันที่จะพิชิตภูผาสูงชันเกือบตั้งฉากกับโลก El Capitan หน้าผาสูงชัน 3,200 ฟุต ด้วยสองมือเปล่า ฝันว่ายากแล้ว การลงมือทำยากกว่าพันเท่า และเรื่องยากนี้ทวีคูณเข้าไปอีกเพราะ Alex คือนักปีนเขา Free Solo การปีนเขาแบบไม่มีอุปกรณ์ส่งเสริมความปลอดภัยใดๆ ไม่มีสลิง ไม่มีตัวแสดงแทน มีเพียงตัวเขา ภูเขา บรรยากาศรอบข้างที่แสนเวิ้งว้างและไกลโพ้น อุปกรณ์ที่มีมากที่สุดมีเพียงผงชอล์กให้ปลายนิ้วที่สัมผัสแผ่นหิน

Free Solo คือหนังสารคดีที่ลุ้นระทึกแต่ควรค่าแก่การชม เพราะเนื้อหาคือความเสี่ยงตาย ถ้าหากพลาดมาคือตายสถานเดียว นักปีนเขาต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเอง ต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก ต้องซ้อมปีนเขาแบบมีเชือกก่อน ต้องท่องจำกระบวนท่าที่จะใช้ผ่านแต่ละจุด แถมยังต้องวางแผนทุกอย่างให้ดีให้รอบคอบเตรียมตัวสำหรับเหตุร้ายไว้ตลอด มันคือ 100 นาทีที่ลุ้นหัวใจจะวาย บทสรุปช่วงท้ายคุ้มค่ามากมาย ไม่แปลกใจที่หนังคว้าออสการ์ในสาขาสารคดียอดเยี่ยม

Jojo Rabbit (2018)

หนุ่มน้อยชาวเยอรมันที่ชื่อว่า โจโจ้ เขาใฝ่ฝันจะเป็นนาซีที่ดี และมีเพื่อนในจินตนาการที่ให้ค่อยความช่วยเหลือ คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ โลกของเด็กชายโจโจ้ เปลี่ยนไปทันทีเมื่อมาพบเด็กสาวชาวยิวในบ้านตัวเอง ที่แม่ของเขา แอบซุกซ่อนเด็กหญิงชาวยิวเอาไว้ที่ห้องใต้หลังคา เพื่อหนีจากการถูกฆ่า จากเด็กที่เคยคลั่งชาติมาวันนี้เขาต้องมาปกป้องเพื่อนใหม่ให้พ้นจากอันตราย

สำหรับ Jojo Rabbit เป็นงานที่สนุกสนาน สมราคารางวัลออสการ์ในสาขาดัดแปลงบทหนังยอดเยี่ยม หนังมีเอกลักษณ์ที่แปลกและแตกต่างจากหนังตลาดทั่วไปหยิบความโหดร้ายของนาซีมาเล่าให้มีเสน่ห์ใส่ความคอเมดี้ลงไปทำให้เนื้อหาน่ารัก การเล่าเรื่องมีความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด เนื้อหาตลกเบาสมองมาก Message ที่สื่อสารออกมา กัดจักเสียดสีได้ได้แบบเจ็บแสบ แฟนหนัง Taika Waititi จาก Thor Ragnarok จะต้องหลงรักหนังเรื่องนี้มาก

Little Miss Sunshine (2006)

เรื่องราวของครอบครัว Hoover สมาชิก 6 คนที่ต้องโดยสารรถตู้ร่วมกันเพื่อไปส่ง โอลีฟ หลานสาวคนเดียวของบ้านให้ทันการประกวดนางงามรุ่นจิ๋วจากนิว เม็กซิโก เดินทางไปยังแคลิฟอร์เนียเป็นระยะทาง 800 ไมล์ โดยที่ตลอดเส้นทางคนในครอบครัวต่างได้เรียนรู้ความหมายที่แท้จริงในการใช้ชีวิตว่าที่สุดแล้ว การที่มีครอบครัวที่รักเรามีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด

สำหรับ Little Miss Sunshine เป็นหนังแนวดราม่า คอเมดี้ ที่สอดแทรกปัญหาภายในสถาบันครอบครัว เราได้เห็นถึงความขี้แพ้ของทุกๆตัวละครที่ทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง พวกเขามารวมตัวกันเพื่อสานฝันให้หลานสาว บนรถที่ดูไม่สมประกอบเลยสักนิด หนังสื่อสารให้เรารู้ว่าไม่มีใครพ่ายแพ้ในชีวิตไปได้ตลอด เรื่องร้ายๆมีสิ่งดีๆอยู่ เราไม่จำเป็นต้องให้ใครมายอมรับเรา ขอเพียงแค่ใช้ชีวิตให้มีความสุขก็เพียงพอแล้ว หนังให้ความรู้สึก Feel Good มากๆ คนที่ดูเรื่องนี้จะอมยิ้มและมีความสุขเมื่อดูจนจบเรื่อง ความยอดเยี่ยมของหนังทำให้ได้ออสการ์ในสาขาบทหนังดั่งเดิมยอดเยี่ยมในปี 2007

Ford V Ferrari (2019)

เรื่องจริงของการแข่งขันชิงความเป็นที่หนึ่งระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการรถยนต์ ฟอร์ด และ เฟอร์รารี่ในการแข่งขันรถซิ่งระดับโลก เลอมังส์ เมื่อปี 1966 เมื่อนักออกแบบรถซิ่ง แคร์โรล เชลบี้ และนักซิ่งหัวรั้นอย่าง เคน ไมล์ส ที่ต้องร่วมกันฝ่าฟันทั้งการแทรกแซงขององค์กรใหญ่และกฏของฟิสิกส์เพื่อปฏิวัติวงการเจ้าความเร็วกับสนามแข่งสุดหฤโหดอย่าง Le Mans 66

สำหรับ Ford v Ferrari เป็นหนังรถแข่งที่ดูสนุกใกล้เคียงกับความจริงมากเมื่อเทียบกับผลงานหนังรถแข่งในตลาดหนัง เนื้อหาเล่าโดยหยิบเรื่องจริงจากประวัติศาสตร์การแข่งขัน Le Mans 1966 24 ชั่วโมง เราสัมผัสได้ถึงความสนุกที่มาด้วยเครื่องยนต์แรงๆ การเข้าโค้งที่ดูแล้วตื่นเต้น เหมือนเราได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสนามแข่ง สิ่งที่ทำให้ผลงานเรื่องนี้มีคุณภาพ คือการลำดับภาพภาพได้เห็นถึงความพยายามถึงตัวละครที่มีเป้าหมายชัดเจนพาแบรนด์ Ford ล้ม Ferrari หนังเรื่องนี้ไม่ได้เหมาะแค่คนที่ชอบอะไรที่เกี่ยวกับความเร็ว แต่ยังเหมาะกับคนที่มีความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จอีกด้วย แถมหนังยังไปคว้ารางวัลออสการ์ในสาขาตัดต่อยอดเยี่ยม และซาวด์ประกอบยอดเยี่ยมในปี 2020

The Grand Budapest Hotel (2014)

เรื่องราวการผจญภัยของ กุสตาฟ เอช พนักงานแผนกคอนซิเอจ ระดับตำนาน ในโรงแรมทรงยุโรปที่โด่งดังในช่วงระหว่างสงคราม กับ ซีโร่ มุสตาฟา พนักงานประจำล็อบบี้ที่กลายมาเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้มากที่สุดของ กุสตาฟ ซึ่งพวกเขาจะมาร่วมผจญภัยไปกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมกับนำเสนอภาพแฟชั่นยุคเก่าผ่านภาพหนังที่สวยงาม จากฝีมือผู้กำกับ เวส แอนเดอร์สัน

สำหรับ The Grand Budapest Hotel จัดว่าเป็นหนังอาร์ทคอมเมดี้ที่ดูสนุกมาก บทหนังใส่ความตลกลงไปผ่านการแสดงของตัวละคร หนังมีความดราม่าอาชญากรรมอยู่ในตัวเองสูงพอควร การใส่ร้ายตัวละครทำให้เราได้เห็น การไล่ล่าตัวละครที่ต้องเจอพิสูจน์ความจริง เรารู้สึกว่างานชิ้นนี้ของ เวส แอนเดอร์สันดูง่ายมาก น่าจะทำให้คนทั่วไปสามารถเสพงานชิ้นนี้ของเขาได้ไม่ยาก นอกจากความสนุกแล้วคนดูยังได้เห็นงานภาพที่งดงามซึ่งมันคือลายเซนต์ของผู้กำกับรายนี้ คนที่รักการดูหนังประเภทคอมเมดี้หรืออาชญากรรมควรหาเรียนนี้ไปดูเพราะมันมีส่วนผสมที่ลงตัวมาก แถมหนังยังก้าวไปคว้ารางวัลออสการ์ 2015 ถึง 4 สาขา คอสตูมยอดเยี่ยม, เมคอัพยอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และโปรดัคชั่นยอดเยี่ยม

Life Of Pi (2012)

หนังดัดแปลงมาจากหนังสือขายดีของ ยาน มาร์เทล ที่ใช้ชื่อเหมือนกัน ว่าด้วยเรื่องราวของเด็กหนุ่มชาวอินเดีย ชื่อ พาย พาเทล ที่มีชีวิตรอดจากเหตุการณ์เรือล่ม โดยใช้ชีวิตอยู่ในเรือชูชีพเป็นเวลา 227 วัน กับบรรดาสิงสาราสัตว์นานาชนิด รวมถึงเสือเบงกอลตัวมหึมา พายต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังกับเจ้าสัตว์ร้ายนี้โดยใช้ความรู้ ไหวพริบ และศรัทธาทั้งหมดเพื่อให้มีชีวิตรอด

สำหรับ Life Of Pi จัดว่าเป็นหนังที่ให้แง่คิดในการดำเนินชีวิต นำความเชื่อมาผสมผสานกับปรัชญาทางด้านศาสนาได้อย่างลงตัว ไม่มีความดราม่าทำให้รู้สึกซีเรียส การจัดวางภาพงดงามใช้เทคนิคพิเศษเสมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง คนที่ชอบดูหนังแบบให้แง่คิดจะชอบหนังเรื่องนี้แน่นอน หนังการันตีด้วย 3 รางวัลออสการ์ 2013 ผู้กำกับยอดเยี่ยมโดย อั่งลี่, ถ่ายทำหนังยอดเยี่ยม และ ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม

Pretty Woman (1990)

วิเวียน วาร์ด ผู้หญิงขายบริการข้างถนนคนหนึ่งที่ถูกว่าจ้างจากเศรษฐีชื่อว่า เอ็ดเวิร์ด ลูอิส ในราคา $300 เพื่อพาไปเข้างานสังคม แต่ด้วยความที่ได้พูดคุยกันถูกคอ ประกอบกับความเหงาที่ไม่เคยมีเพื่อนแท้มาก่อนในชีวิต หลังจากวันนั้นเขาจึงจ้างเธอเพิ่มอีก 6 วัน ด้วยเงิน $3000 ทำให้ตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่กับเธอก็ได้เปลี่ยนความคิดบางอย่างไปเรื่อยๆ ให้กลายมาเป็นคนที่ดีขึ้น และเลิกที่ใช้เงินซื้อทุกอย่าง ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเขาได้ตกหลุมรักเธอไปแล้ว

สำหรับ Pretty Woman นั้นเรียกได้ว่าเป็นหนังรักสูตรสำเร็จอีกเรื่องที่สร้างชื่อเสียงได้มากมายเหลือเกิน ด้วยตัวบทที่ฉีกแนวให้นางเอกมีอาชีพโสเภณีก็เป็นอะไรที่ว้าวมากๆ แล้ว ซึ่งการเปลี่ยนอาชีพของคาแรคเตอร์เท่านี้ กลับทำให้หนังมีลูกเล่น และมุขตลกต่าง ๆ ที่น่ารักมากเลยทีเดียว ซึ่งใครที่ชอบหนังรักยุค 90s ชอบพระนางสุดปังในสมัยนั้นอย่าง Richard Gere กับ Julian Robert แม้วาหนังจะไม่ได้รางวัลออสการ์ในปี 1991 แต่หนังเรื่องนี้ก้าวไปพิชิต Golden Globe Awards ในสาขานำหญิงยอดเยี่ยมจาก Julia นั้นเอง

Nomadland (2020)

เรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากหนังสือสารคดีชื่อ Nomadland: Surviving America in the Twenty-First Century ที่เล่าถึงภาพชีวิตทางเลือกของกลุ่มคนอเมริกันที่ปฏิเสธการตั้งเหย้าเรือนเป็นหลักแหล่งแห่งที่ ใช้ชีวิตประจำวันกินอยู่หลับนอนใน รถบ้าน หรือ RV-Recreational Vehicle และย้ายตำแหน่งเพื่อหางานทำไปเรื่อยๆ ในรูปแบบของกลุ่มชนร่อนเร่ Fern หญิงวัย 60 เศษๆ ที่สูญเสียทุกอย่างในภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ เธอเลยเก็บของและออกเดินทางทั่วอเมริกาฝั่งตะวันตก ใช้ชีวิตเป็นคนเร่ร่อนยุคใหม่ที่อาศัยอยู่ในรถตู้ RV ออกเดินทางเพื่อหางานทำ ผ่านตัวละครที่ชื่อว่า Fern สาวใหญ่ที่เพิ่งจะสูญเสียสามีสุดที่รักของเธอไป หนำซ้ำสถานที่ทำงานโรงงานยิปซัมในเมือง Empire รัฐเนวาดา ที่เธอพำนักร่วมกับสามีมาเนิ่นนานจำต้องปิดกิจการ เธอจึงต้องลาจากเมืองที่คุ้นเคยขายทิ้งทุกสิ่งอย่าง เพื่อนำมาซื้อรถบ้าน RV ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวลำพัง ค่ำที่ไหน ค้างที่นั่น และหางานเล็กๆ น้อยๆ ทำในช่วงเวลากลางวันให้พอมีเงินเลี้ยงชีวิตต่อไป โดยไม่คิดจะทะเยอทะยานหรือมักใหญ่ใฝ่สูงใดๆ อีกแล้ว

ภาพของ Nomadland คือการจำลองความจริงในสังคมอเมริกาชนที่คนช่วงบั้นปลายถูกทอดทิ้ง กลายเป็นคนไร้บ้าน กลายเป็นคนจรจัด พวกเขาไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐ เพราะผลกระทบจากโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจที่ทอดทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลังซึ่งมันเป็นระบบทุนนิยมเก่าที่อยู่ไม่รอดในโลกเศรษฐกิจยุคใหม่ เมื่อปรับตัวไม่ได้ก็เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่บน RV ทำงานรับจ้างเป็นลูกจ้างชั่วคราวแทนเพื่อมีชีวิต หนังเข้าอกเข้าใจกลุ่มคนเหล่านี้ว่าทำไมพวกเขาถึงเลือกจะใช้ชีวิตแบบไม่มีบ้านยืนหยัดด้วยตัวเอง หนังเรื่องนี้กลายเป็นดาวเด่นคว้า 3 รางวัลออสการ์ 2021 ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก Chloé Zhao และนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Frances McDormand