Scream (1996)
หวีดสุดขีด
คะแนน
โกดังหนัง
มหกรรมขยี้หนังเชือด ล้อขนบหนังฆาตกรโรคจิตได้อย่างมีชั้นเชิง
ผสานความโหดระดับเรท R กับเนื้อเรื่องชวนหาฆาตกรได้อย่างลงตัว”
คำคมจากภาพยนตร์
“What’s your favorite scary movie?”
“หนังสยองขวัญเรื่องโปรดของคุณคือเรื่องอะไร?”
เรื่องย่อ
ซิดนีย์ สาวแกร่งที่แม่ของเธอเพิ่งเสียชีวิต จนทำให้สภาพจิตใจเธอยังไม่ค่อยดีนัก แต่เศร้าได้ไม่ทันไร เธอก็ยังต้องเผชิญกับเรื่องราวที่เลวร้ายกว่านั้นอีก เมื่อบรรดาคนรอบๆ ตัวเธอ ล้วนกลายเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิตที่สวมหน้ากาก Ghostface สุดหลอน และออกฆ่าคนเป็นว่าเล่น แต่ความยากของเธอก็คือในขณะที่ต้องเอาตัวรอด ก็ต้องคอยหาไปด้วยว่าใครกันแน่ที่เป็นคนสวมหน้ากากไล่ฆ่าคนรอบตัวเธอแบบนี้ เพราะมันอาจจะเป็นคนใกล้ตัวเธอมากกว่าที่คิดก็ได้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Scream จะเหมาะกับคนที่ชอบดูหนังแนว Slasher หรือฆาตกรโรคจิตไล่เชือดมาอย่างแน่นอน ในแง่ของความที่มันล้อเลียนขนบต่างๆ ของหนังประเภทนั้น กับตัวละครที่เหมือนจะรู้ทันฆาตกร (แต่ความจริงคือไม่) ก็เลยทำให้มันยกระดับจากหนังประเภทนั้นมาให้ตัวเองดูฉลาดขึ้นไปน้อย แต่ทั้งนี้ในแง่ความโหดมันก็ไม่ได้ดรอปไปเลย เพราะเจ้าฆาตกร Ghostface นี้ก็ถูกดีไซน์ออกมาได้โหดถึงใจ แถมลีลาการคุยโทรศัพท์ของมัน พร้อมกับหน้ากากชิ้นนี้ก็ทำให้มันกลายเป็นอีก Iconic ของโลกภาพยนตร์ที่น่าจดจำอีกเรื่อง จนลากหนัง Slasher ให้มาเกิดใหม่ได้เพียบอย่าง I know what you did last summer หรือ urban legend ที่พยายามจะปิดบังฆาตกรที่เป็นคนรอบตัวแบบนี้เอาไว้เช่นกัน
- สายหนังฆาตกรโรคจิต
- สายหนังระทึกขวัญไล่เชือด
- สายหนังไล่เชือดยุค 90s
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หนังเชือดที่เติมความแปลกใหม่ให้กับตำนานซ้ำซากอย่างพวก Jason หรือ Freddy ในช่วงเวลานั้นที่แม้จะออกมาหลายต่อหลายภาค แต่ก็เริ่มวนลูปอยู่กับการไล่ฆ่าแบบเดิมๆ จนทำให้ผู้กำกับอย่าง Wes Craven ก็นึกทำหนังสไตล์ไล่เชือดขึ้นมาใหม่ ที่นอกจากจะไม่ซ้ำกับใคร (ในยุคนั้น) ด้วยการล้อขนบธรรมเนียมของหนังแนวๆ นี้แบบสุดฤทธิ์ การสร้างตัวละครที่เหมือนจะรู้ทันหนังสยองไปเกือบทุกอย่าง (แต่ก็ยังไม่พ้นโดนเชือด 555+) ก็สร้างความสนุก และอารมณ์ขันแบบแปลกๆ ที่ไม่ควรมาอยู่ในหนังสไตล์นี้ได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ทำให้ Scream แตกต่างจากหนังสยองขวัญไล่เชือดเรื่องอื่นๆ ในยุคนั้นก็คือ การเอาฆาตกรมาซ่อนภายใต้หน้ากาก โดยที่ตัวละครกับคนดูเองก็ไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นใคร และที่สำคัญหนังก็ยังสร้างความน่าสงสัยให้กับตัวละครแต่ละตัวในเรื่องที่ยังคงมีชีวิตอยู่ เพื่อให้ลุ้นกันเอาเองว่า ใครกันแน่ที่เป็นฆาตกร เพราะดูแล้วแต่ละคนรอบตัวนางเอกนั้นก็ดูมีความเป็นไปได้เสียเหลือเกิน และที่สำคัญเบาะแสของหนังก็ดูจะโยงเป็นใครก็ได้ แค่เพียงใส่หน้ากาก Ghostface นี้ลงไปเท่านั้น ซึ่งบทสรุปก็นับว่าทำออกมาได้ดีมากๆ สำหรับยุคนั้นเลย
ส่วนที่ทำให้หลายคนชอบหนังเรื่องนี้อีกอย่างคงหนีไม่พ้นคาแรคเตอร์ของ นางเอก ซิดนีย์ ที่รับบทโดย Neve Campbell ที่ทำให้เธอกลายมาเป็นสาวแกร่งตัวยืนของเรื่องที่พร้อมบวกในทุกสถานการณ์ อีกทั้งฆาตกรในเรื่องนี้มันก็ดูเป็นคนธรรมดามาสวมหน้ากาก จนพร้อมโดนอัด โดนยำ และบาดเจ็บได้ ให้คนมีลุ้นให้สู้พอไหว ต่างจากพวกขี้โกงทั้งหลายในหนังเรื่องอื่นๆ แนวๆ นี้ที่ฆ่าเท่าไรมันก็ยังไม่ตายสักที ด้วยปฏิภาณไหวพริบในแบบหญิงแกร่ง ก็ทำให้เราอยากเชียร์ให้ตัวละครนี้รอดมากกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ในแนวเดียวกันได้อย่างน่าสนใจ จนกลายเป็น Iconic ของหนังชุดนี้ไปแล้ว
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ฉากในโรงเรียนมัธยมของเรื่องนั้น ตอนแรกทางผู้กำกับตั้งใจว่าจะถ่ายที่โรงเรียนมัธยม Santa Rosa ในแคลิฟอเนียร์ แต่เมื่อถึงวันใกล้ถ่ายจริง ทางโรงเรียนกลับเพิ่งอ่านบท และยกเลิกที่จะให้ถ่ายทำที่นั่น เพราะรู้สึกว่าเนื้อหามันรุนแรงเกินไป ทางทีมงานก็เลยต้องย้ายที่ถ่ายกัน แต่ผู้กำกับอย่าง Wes Craven ก็ยังผูกใจเจ็บจนถึงขั้นใน End Credit หลัง Special Thanks ทั้งหลาย ก็ยังเพิ่มในส่วนของ No thanks หรือ ไม่ขอบคุณบรรดาบอร์ดของโรงเรียน Santa Rosa ที่ไม่ให้พวกเขาไปถ่ายด้วย แสบจริงๆ 55+
- แต่เดิมชุด Ghostface ถูกดีไซน์ให้เป็นสีขาว เพื่อที่จะให้รู้สึกเหมือนผีที่ล่องลอยไปมาได้ แต่สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนเป็นสีดำ เพราะกลัวจะทำให้ผู้คนเอาไปเปรียบเทียบกับลัทธิคนคลั่งขาวอย่างพวก Ku Klux Klan
- Courteney Cox หรือที่ทุกคนรู้จักเธอกันจากบท Monica ในซีรี่ส์เรื่อง Friends นั้น ออกมาบอกว่า ในตอนที่เธอจะมาเล่นเรื่องนี้ เธออยากเล่นบทที่มัน Bitch บ้าง เพื่อฉีกภาพลักษณ์แสน Nice ของเธอจากซีรี่ส์เรื่องดังกล่าว และเธอก็ได้รับบทนั้นสมใจ เพราะฐานะนักเขียนของเธอคือะไรที่น่าหมั่นไส้จนกระทั่งนางเอกยังทนไม่ได้เลย