รวมหนัง: 7 Animation จากค่าย Pixar ที่อาจเปลี่ยนวิธีคิดไปตลอดกาล
ช่วงนี้เชื่อว่า หลายๆ คนกำลังสนุกกับการค้นหาอะไรดูใน Disney+ Hotstar กับคอนเทนท์ดีงามมากมายที่อยู่ในนั้น (ที่หลายๆ คนก็บอกว่าส่วนมากก็ดูไปหมดแล้วแหละ 555+) ด้วยความที่คอนเทนท์ของค่ายมีออกมาให้ดูกันแบบครบๆ ก็ดีต่อใจคนที่ชอบผลงานของค่ายมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคอ Animation ของค่ายคุณภาพอย่าง Pixar ที่ไม่ว่าจะทำผลงานใดออกมาก็ล้วนแล้วแต่สัมผัสไปถึงหัวใจผู้ใหญ่ใจเด็กซะเหลือเกิน
ด้วยความที่ผลงานของค่ายมีถึง 24 เรื่องในตอนนี้ หากจะไล่ดูให้หมดก็คงใช้เวลาไม่น้อย ทาง โกดังหนังเอง จึงอยากที่จะคัดเลือกมาให้ (ตามรสนิยมของแอดมินเอง) ว่ามีเรื่องใดบ้างที่ดูแล้วมันอิมแพคไปถึงหัวใจและไหลไปถึงสมองให้เราได้ลองเปลี่ยนแนวคิดในชีวิตกันบ้าง ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเซตที่ตัดสินใจได้ยากมากๆ เนื่องจากแต่ละเรื่องของค่ายก็ดีไปเสียหมด จนต้องตัดใจยอมทิ้งหลายเรื่องที่รักไป เพื่อคัดเหลือที่ดีต่อใจแบบจริงๆ ดังนั้น ถ้าเรื่องไหนไม่มีในนี้ ไม่ได้แปลว่าไม่ดีเลย เพียงแต่มันอาจจะมีผลต่อชีวิตของเราไม่เท่ากันเท่านั้นเอง ยังไงใครมีเรื่องที่ชอบในใจแต่ไม่อยู่ใน List ก็มาพูดคุยกันได้เลย!
Soul (2020) – อัศจรรย์วิญญาณอลเวง
Joe Garner ครูสอนดนตรีวัยกลางคน ที่มีความฝันอยากจะเป็นนักดนตรีแจ๊สชื่อดังเหมือนอย่างพ่อของเขา แต่ชีวิตตอนนี้ก็ดูห่างไกลจากเป้าหมายที่ว่า จนกระทั่งเขาได้รับโอกาสได้ไปเข้าร่วมวงดนตรีแจ๊สชื่อดังของคลับแห่งหนึ่ง แต่โชคชะตาก็ดันเล่นตลก เมื่อเขาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน จนทำให้จับพลัดจับผลูหลุดเข้าไปอยู่ในดินแดนก่อนไปเกิด จึงได้พบกับหมายเลข 22 วิญญาณอายุกว่าพันปี ที่ยังไม่ได้ไปเกิดสักที เพราะหาเป้าหมายในการมีชีวิตไม่ได้ ทั้งคู่จึงได้ออกผจญภัยหาความหมายของคำว่า “ชีวิต” ไปด้วยกัน
…
Animation ที่ทำให้เรารู้สึกฟีลกู้ดและส่งมอบพลังให้ใช้ชีวิตต่อไปได้ในทันทีหลังดูจบ นับเป็นอนิเมชั่นที่เหมาะกับผู้ใหญ่วัยกลางคนที่ผ่านการใช้ชีวิตมาแล้วในระดับหนึ่ง ถึงจะดูแล้วอิน และเข้าใจประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อสารออกมา เพราะหากเป็นเด็กดูก็คงไม่ค่อยเข้าใจกันอย่างแน่นอน ด้วยความที่มันเล่าถึงความตาย คุณค่าของชีวิต การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ผ่านมาเข้ามา ล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นที่ทุกคนต้องเผชิญอยู่ในทุกวัน ทำให้หลังดูจบปุ้บก็เริ่มเก็บเกี่ยวความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน พร้อมทั้งปล่อยวางเป้าหมายในชีวิตและความกดดันที่มีลงไปได้บ้าง
Toy Story 3 (2010) – ทอย สตอรี่ 3
เมื่อ Andy เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยวัยที่เติบโตทำให้เขาต้องห่างกับของเล่นที่เขาเครักมากขึ้น จนวันหนึ่งเขานำของเล่นที่มีอยู่ใส่ถุงดำไปเก็บไว้ในห้องเก็บของ แต่แม่ของเขาดันเข้าใจผิดเอาไปรวมกับถุงขยะทิ้ง จนทำให้บรรดาของเล่นของ Andy ต่างก็รู้สึกถูกทอดทิ้ง Woody และผองเพื่อนจึงตัดสินใจออกหาเจ้าของใหม่ จนกระทั่งได้พบกับสถานเลี้ยงเด็ก Sunnyside Daycare และได้รับการต้อนรับจาก Lotso ตุ๊กตาหมีใหญ่ใจดี โดยที่ไม่รู้เบื้องหลังที่รอพวกเขาอยู่
…
ไม่ว่าใครที่มีของเล่นตัวโปรด ก็น่าจะหลงรัก Animation อย่าง Toy Story ได้ไม่ยาก และยิ่งใครที่โตมากับมันแล้ว รับรองว่ามีน้ำตาแตกในภาคนี้อย่างแน่นอน เพราะมันทำออกมาได้เข้าอกเข้าใจคนที่รักของเล่นมากๆ ว่าความผูกพันระหว่างคนและของเล่นที่รักมันเป็นอย่างไร รวมไปถึงมิตรภาพของบรรดาของเล่นในเรื่อง ที่ผ่านมากกว่า 10 ปี ยิ่งบิวท์คนดูที่โตมาด้วยกันได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งมอบบทสรุปที่ทำให้เราได้เรียนรู้เป็นอย่างดีว่าในวันนึงที่เราก็คงต้องยอมปล่อยวาง และบอกลากับสิ่งที่เรารัก เพื่อเป็นการส่งต่อความสุขให้กับคนอื่นต่อไปเช่นกัน
Coco – วันอลวน วิญญาณอลเวง
Miguel หนุ่มน้อยวัย 12 ปี ที่หลงใหลในดนตรีเป็นอย่างมาก แต่ตระกูลของเขากลับต่อต้านและไม่ให้มีการเล่นดนตรีภายในบ้าน นั่นเป็นเพราะย่าทวดของเขาเคยถูกปู่ทวดทอดทิ้งไปเพราะไปทำตามความฝันที่จะเป็นนักดนตรี ด้วยความที่อยากเล่นดนตรีแบบสุดหัวใจ Miguel จึงแอบไปขโมยกีตาร์จาก Ernesto de la Cruz นักร้องดังที่เป็นไอดอลของเขา แต่ดันเป็นวันที่ประตูคนเป็นคนตายเชื่อมต่อกันพอดี เลยทำให้เขาต้องถูกสาปและติดอยู่ในโลกหลังความตาย และได้รับการช่วยเหลือจากสมาชิกครอบครัว เพื่อให้ได้กลับมาในโลกมนุษย์กันอีกครั้ง
นับเป็นความกล้าในการสร้างความแปลกใหม่ได้ดีมากๆ กับการที่เอา Animation มาใส่ส่วนผสมในเรื่องของ ความตาย ดนตรี และเม็กซิกัน จนนับเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ สร้างความน่าสนใจได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังแฝงประเด็นในเรื่องครอบครัวใหญ่ในวันรวมญาติที่ไม่ต่างอะไรกับวัฒนธรรมเชงเม้ง ก็ทำให้รู้สึกว่าเรื่องราวไม่ได้ไปไกลตัวมากนัก อีกทั้งประเด็นของการมีตัวตนในโลกหลังความตาย จะยังคงอยู่ได้ถ้าไม่ถูกลืมเลือนก็นับเป็นอีกจุดที่น่าประทับใจ และชวนเสียน้ำตาไปด้วยความซาบซึ้งจริงๆ จนเห็นความสำคัญของคนในครอบครัวมากขึ้น แม้ว่าเราจะสูญเสียเขาไปแล้วก็ตาม
Inside Out – มหัศจรรย์อารมณ์อลเวง
Riley สาวน้อยที่กำลังจะเติบโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น แต่ต้องย้ายที่อยู่ไปตามพ่อแม่ไปยังอีกเมืองโดยที่ไม่เต็มใจ จนทำให้เธอต้องพบกับความซับซ้อนทางอารมณ์ที่มากขึ้น อารมณ์ทั้ง 5 ในหัวของเธอนั้น ทั้ง Joy-ความสุข, Fear-ความกลัว, Anger-ความโกรธ , Disgust-ความน่ารังเกียจ และ Sadness-ความเศร้า ที่ควบคุมสภาพจิตใจอยู่ต้องเผชิญกับโจทย์ที่ยากตาม ในการควบคุมอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของเธอ เพื่อให้ทุกอย่างอยู่ในความสมดุล ไม่กระทบชีวิตของเธอมากนัก
สิ่งที่น่าชื่นชมมากๆ สำหรับ Inside Out นั่นก็คือการเล่าเรื่องที่ยากๆ อย่างการทำงานในสมองให้ออกมาดูง่าย ย่อยง่าย และเข้าใจการทำงานของมันได้เป็นอย่างดี กับการผจญภัยของ Joy และ Sadness ในหัวของ Riley ที่เป็นตัวแทนของเด็กที่กำลังเผชิญกับช่วงการก้าวข้ามผ่านวัย ซึ่งมันไม่ได้แค่เพียงทำออกมาสนุกเท่านั้น แต่มันยังสอนเราถึงการรับมือกับความเศร้าที่เข้ามาในชีวิตได้ด้วย โดยที่ไม่ได้มองความเศร้าว่าเป็นศัตรูตัวร้าย แต่มันกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ชีวิตเราต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ อยู่ที่เราจะใช้ความเศร้ามาเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ เติบโต และเพิ่มประสบการณ์ในชีวิตไปได้อย่างไร
Wall-E (2008)
Wall-E หุ่นยนต์บีบอัดขยะที่ใช้ชีวิตบนโลกมาอย่างเดี่ยวดายกว่า 700 ปี ด้วยการทำหน้าที่กำจัดขยะในโลกมนุษย์ ที่ไม่มีใครอยู่แล้ว เพราะอพยพกันขึ้นไปยานอวกาศกันหมด เพื่อรอให้สภาพแวดล้อมในโลกกลับมาอยู่ได้อีกครั้ง แต่แล้ววันหนึ่ง Wall-E ก็ได้พบกับ Eve หุ่นยนต์อีกตัวที่มนุษย์ส่งมาในโลก เพื่อตามหา พืช เพื่อใช้เป็นสัญญาณว่าโลกมนุษย์นั้นสามารถกลับมาอยู่ได้อีกครั้งแล้ว จนทำให้เกิดเป็นมิตรภาพและความรักที่เกิดขึ้นของหุ่นอัดขยะขี้เหงารายนี้
แม้ตัวละครหลักจะเป็นเรื่องราวของหุ่นยนต์น่ารักทั้งสองตัว แต่หากพิจารณาถึงฉากหลังดีๆ แล้ว Animation เรื่องนี้กลับพูดถึงปัญหาสภาพแวดล้อม และปัญหาขยะล้นโลกอย่างหนักหน่วง ดูจากการทำงานของ Wall-E ที่มาผ่านหลายร้อยปีกยังไม่หมดไม่สิ้น จนยากที่โลกจะกลายเป็นพื้นที่ให้โลกมนุษย์กลับมาอยู่ได้ ทำให้ตอนนี้หลังจาก Animation ผ่านมาเป็น 10 กว่าปี เราก็ได้แต่พบว่าโลกเรามันเริ่มกลายเป็นเหมือนใน Animation มากขึ้น ทั้งปริมาณขนะ ปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงวิถีชีวิตของคนในโลกอนาคต ที่ดูแล้วช่างใกล้เคียงกับปัจจุบันเหลือเกิน
Up (2009)
Carl คุณปู่ในวัย 78 ปี ที่เคยแต่งงานมีคนรัก และทั้งคู่ก็มีความฝันที่จะได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน แต่แล้วเธอก็จากไปเสียก่อน ทำให้เขายึดติดกับตัวบ้านที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนความทรงจำของเขากับภรรยามากๆ ในวัยบั้นปลายของชีวิต เขายังคงตัดสินใจตามฝัน ด้วยการนำลูกโป่งจำนวนมากติดไว้กับบ้าน เพื่อให้บ้านลอยขึ้นไป และออกเดินทางท่องเที่ยวตามที่ตั่งใจเอาไว้ แต่แล้วเขาก็กลับพบกับ รัสเซล ลูกเสือตัวน้อยวัย 9 ขวบ ที่ดันจับพลัดจับผลูขึ้นมากับเขาพอดีเลยได้ออกผจญภัยกับบ้านลอยได้ไปด้วยกัน
โดยปกติเรามักที่จะน้ำตาแตกกันในช่วงท้ายๆ ของหนัง จากการที่มันค่อยๆ บิวท์เรามาตั้งแต่ต้น แต่เรื่องนี้ดันเป็นส่วนที่กลับด้าน เมื่อแค่เปิดฉากมาให้เราได้เห็นถึงความรักของปู่ ก็ชวนเอาน้ำตาคลอกันไปแล้ว อีกทั้งเนื้อหาต่อจากนี้ก็ค่อนข้างบรรเจิดมากกับการผจญภัยไปในบ้านติดลูกโป่งลอยได้ สิ่งที่เห็นในหนังเรื่องนี้ก็จะเป็นในเรื่องของช่องว่างระหว่างวัย ของคน Baby Boomer กับเด็ก Gen ใหม่ที่เพิ่งกำลังเติบโตขึ้นมา ทำให้คนทั้งสองที่เกิดมาและใช้ชีวิตในโลกที่ต่างกัน ควรที่จะพยายามปรับตัวปรับใจเข้าหากันมากขึ้น เหมือนอย่างสภาพสังคมในทุกวันนี้
Ratatouille (2007)
Remy หนูสัญชาติฝรั่งเศสที่หวังจะเป็นสุดยอดเชฟให้ได้ วันหนึ่ง Remy ก็ได้โอกาสเข้ามาอยู่ในภัตคารสุดหรูในเมือง ปารีส โดยมี Auguste Gusteau ชายผู้เปรียบเสมือนเป็นไอดอลด้านการทำอาหารในดวงใจเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ แต่ด้วยความที่เขาเป็นหนูและไม่สามารถเปิดเผยตัวได้จึงอาศัยช่วยเหลือ Linguini พ่อครัวที่ไม่มีพรสวรรค์ในการทำอาหารเลย จนได้ผลงานชั้นเลิศออกมามากมาย ในขณะที่ทางร้านก็พยายามที่จะกำจัดหนูออกไปพ้นทาง จึงเกิดเป็นเรื่องชุลมุนวุ่นวายขึ้น
นับเป็นการจับคู่ที่เป็นขั้วตรงข้ามเหลือเกิน กับการที่ใช้หนูที่ปกติแล้วเป็นสัญลักษณ์ของความสกปรกมาเป็นตัวเอกใน Animation ที่เกี่ยวกับอาหาร และยังใช้ชื่อเรื่องที่สื่อได้สองความหมายอย่าง Ratatouille ที่เป็นอาหารฝรั่งเศสชนิดหนึ่ง โดยมีคำว่า Rat ที่เ็นตัวเอกของเรื่องอยู่ข้างในนั้นด้วย ทำให้หนังสามารถเล่นเรื่องการที่อย่าให้ใครมาหยุดยั้งความฝันได้อย่างเต็มที่ แม้ว่าหลายๆ คนจะมองว่าเราไม่เหมาะก็ตาม ในเมื่อมันเป็นความฝันของตัวเอง สิ่งที่จะหยุดยั้งมันได้ก็คงมีแต่ตัวเราเองเท่านั้น จนไม่แปลกใจที่ใครจะได้รับแรงบันดาลใจจาก Animation เรื่องนี้กันมากมาย