Saw (2004)
เกมต่อตาย..ตัดเป็น
คะแนน
โกดังหนัง
ต้นกำเนิดเกมเอาชีวิตรอดจากกับดักสุดระทึก หนังทุนต่ำที่งัดความสร้างสรรค์เต็มสูบ กับพล็อตเรื่องที่ยากจะคาดเดายากเหลือเกิน
คำคมจากภาพยนตร์
“I want to play a game.” “มาเล่นเกมกันเถอะ”
เรื่องย่อ
ดร. ลอว์เรนซ์ และ อดัม ชายสองคนที่ตื่นมาในห้องน้ำขนาดใหญที่ทั้งคู่ไม่คุ้นเคย ที่เลวร้ายไปกว่านั้น พวกเขายังพบว่าขาของตัวเองถูกล่ามโซ่ตรวนเอาไว้อยู่คนละมุมห้อง พร้อมกับศพปริศนาที่อยู่ตรงกลางห้องอีกคน จากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงในห้องประกาศว่า เกมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Saw นั้น น่าจะเป็นหนังชุดที่ฝังไปในภาพจำของผู้คนแล้วว่า เป็นหนังชุดฆาตกรโรคจิตกับเครื่องมือทรมานโหดเลือดสาด ชิ้นส่วนกระจุยกระจาย แต่เอาเข้าจริง สำหรับ saw ในภาคแรกนั้น ดูเหมือนจะเป็นหนังแนวสืบสวนเชิงจิตวิทยาซะมากกว่าด้วยซ้ำ และตัวหนังมันก็แทบไม่ได้เน้นไปที่ความโหดเลยสักเท่าไร ดังนั้นหากใครชอบหนังแนวๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเนื้อเรื่อง และไม่ต้องหวือหวาแบบนี้ ก็สามารถดู Saw ภาคแรกได้แบบไม่ต้องทนเห็นเลือดสาดมากนัก ถ้าชอบพวกหนังคนโดนจับมาด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างแบบ The Hostel หรือ Cube ในโทนที่โหดน้อยกว่า ก็สามารถดูเรื่องนี้กันได้เลยแบบสบายๆ
- สายหนังโหดอำมหิต
- สายหนังลุ้นระทึกเอาชีวิตรอด
- สายหนังฆาตกรโรคจิต
รีวิว / สรุปเนื้อหา
จุดกำเนิดของหนังสายโหดแห่งยุคที่คลอดภาคต่อมาไม่รู้จบ ทั้งๆ ที่ภาคแรกเองก็หนังก็มีโทนเป็นหนังสยองขวัญ ระทึกขวัญแบบสืบสวนมาตั้งต้น แต่สุดท้ายก็กลายมาเป็นหนังทรมานทรกรรมคนด้วยเครื่องมือและกับดักต่างๆ ไปเฉย อย่างไรก็ตามก็นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่ทางแฟนๆ ของหนังก็ดูเหมือนจะรับได้ และพร้อมใจติดตามเจ้าฆาตกรไลฟ์โค้ชคนนี้มาโดยตลอด กลับมาที่ภาคแรกกันก่อน ในภาคนี้พล็อตเรื่องคือน่าสนใจมาก กับเรื่องราว คนสองคนที่ดูเหมือนจะไม่รู้จักกัน แต่กลับมาอยู่ในห้องเดียวกันพร้อมกับศพตรงกลางห้อง แค่นี้ก็ชวนติดตามไม่น้อยแล้วว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
วิธีการเล่าเรื่องของหนังมันเลยเป็นการค่อยๆ โยนข้อมูลเข้ามาให้กับคนดูมากขึ้น ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของตัวละคร ว่าพวกเขามีที่มาที่ไปอย่างไร และเหตุใดต้องมาเจอกัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของหนังที่น่าติดตามเลยทีเดียว ซึ่งหนังเองก็คงกลัวว่าหากจะเล่าเรื่องภายในห้องอย่างเดียว ก็ว่าจะน่าเบื่อเกินไป ในสถานการณ์นอกห้องก็เป็นอีกปัจจัยที่หนังพาไปชวนลุ้นกับเหตุการณ์ต่างๆ รวมถึงโชว์การฆ่าด้วยเครื่องมือสุดโหดได้มากขึ้น เพื่อตอบสนองคอหนังโหดอยู่บ้าง
ในพาร์ทอารมณ์หนังก็สร้างความกดดันได้เป็นอย่างดี และบิวท์ความตึงเครียดของคนดู โดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ ความอยากเอาชีวิตรอดของตัวละครมันมีมากขึ้น ก็นำไปสู่บทสรุปที่แสนลงตัวในตอนท้ายที่ใครๆ ก็น่าจะจดจำกันได้มาถึงทุกวันนี้ ซึ่งส่วนสำคัญอีกอย่างของหนังอีกด้านก็คือ การดีไซน์เจ้าฆาตกร Jigsaw ออกมาทำตัวเสมือนเป็นไลฟ์โค้ช ให้คนเรียนรู้คุณค่าชีวิตนี่แหละที่ทำให้เขาแตกต่างจากฆาตกรโรคจิตรายอื่นๆ จนขึ้นแท่นเป็น Iconic ฆาตกรแห่งยุคอีกคนได้อย่างสวยงาม ด้วยลักษณะบุคลิกที่มีความแปลกแต่น่าสนใจ (แม้ว่าการสานต่อในช่วงหลังๆ มันจะเลอะเทอะไปหน่อยก็เถอะ)
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- James Wan เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าบรรดาฉากในหนังที่น่ากลัวทั้งหลาย เช่น หัวหมู ตุ๊กตา อะไรเหล่านี้ ล้วนมาจากฝันร้ายของเขากับ Leigh Whannell (คนเขียนบท) ตอนเป็นเด็กๆ แทบทั้งนั้น
- ตัวหนังใช้เวลาถ่ายทำเพียง 18 วันเท่านั้น และฉากในห้องน้ำทั้งหมด ใช้การถ่ายแบบเรียงลำดับเหตุการณ์เพื่อให้นักแสดงอินกับการเอาชีวิตรอดมากขึ้น