Mission: Impossible III (2006)
มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล 3
คะแนน
โกดังหนัง
ภาคที่พาให้ Mission Impossible กลับมาเป็นหนังสายลับชั้นเยี่ยมอีกครั้ง เรียกได้ว่าสนุกกันตั้งแต่เปิดฉาก น่าเสียดายที่ฉากไคลแม็กซ์อาจจืดไปหน่อย
คำคมจากภาพยนตร์
“The Rabbit's Foot, where is it?” “ตีนกระต่ายอยู่ที่ไหน? ”
เรื่องย่อ
อีธาน ฮันท์ สายลับมือฉมังที่ลาวงการมาเป็นครูฝึกภาคสนาม เพราะพบรักกับ จูเลีย พยาบาลสาว จนถึงขั้นที่จะแต่งงานกัน โดยที่จูเลียก็ไม่ได้ล่วงรู้ถึงงานเบื้องหลังของอีธานเลย จนกระทั่งอีธานก็ได้รับภารกิจใหม่อีกครั้งจากหน่วยงาน IMF (Impossible Mission Force) เมื่อลูกศิษย์ของเขานั้นหายไปจากการปฏิบัติการ เขาจึงต้องออกตามล่าวายร้ายอย่าง โอเว่น ดาเวียน วายร้ายตัวฉกาจที่ค้าอาวุธและข้อมูลข้ามชาติ แถมยังมีความฉลาดเป็นกรดไม่ต่างอะไรจากสายลับเลย จนเมื่ออีธาน ต้องกลับมารับภารกิจอีกครั้ง ก็ต้องพบว่า โอเว่นนั้นดันเอาคนใกล้ตัวของเขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Mission Impossible III ก็เป็นหนังชุดที่เหมาะกับคอหนังสไตล์สายลับกันอยู่แล้ว ซึ่งในภาคที่ 3 นี้จริงๆ แล้วก็สามารถดูได้อย่างโดดๆ โดยที่ไม่ต้องดู 2 ภาคแรกมาก่อนแต่อย่างใด เพราะเหมือนเอาตัวละครเดิมมาใช้ แต่ก็เป็นเนื้อเรื่องใหม่ทั้งหมดนับตั้งแต่ต้นเรื่อง ซึ่งในภาคนี้มันมีเสน่ห์ของความเป็นหนังสายลับมาก ในขณะเดียวกันก็ดูบันเทิงไปกับฉากแอคชั่นสุดมันส์ในสไตล์ Blockbuster ไปด้วย ทำให้ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนคลับของหนัง Mission Impossible มาก่อนหรือไม่ก็ตาม ยังไงเราก็แนะนำให้ดูภาคนี้กันอยู่ดี ยิ่งคนที่ชอบหนังสายลับแบบ The Bourne Identity หรือแนว Bond อยู่แล้ว ก็ได้จะได้คารแคเรคเตอร์อีกแบบดี
- สายหนังแอคชั่นสายลับ
- สายหนังแอคชั่นBlockbuster
- สายหนังผู้ก่อการร้าย
รีวิว / สรุปเนื้อหา
Mission Impossible เป็นหนังอีกชุดที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้กำกับอยู่ตลอด จนทำให้แม้ว่าทุกภาคจะมีตัวละครเซตเดียวกัน แต่รสชาติของหนังก็มีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย เพราะอย่างในภาคแรกก็เป็นโทนสายลับจ๋าๆ มีอุปกรณ์ต่างๆ มีการหักเหลี่ยมเฉือนคมกันจนเดากันแทบไม่ถูก ส่วนภาคสองพอมาอยู่ในมือของผู้กำกับอย่าง John Woo มันก็กลายเป็นแอคชั่นแบบขี้โม้เต็มตัวไปเลยซะงั้น จนกระทั่งมาถึงภาคนี้ที่เข้ามือผู้กำกับมือใหม่ไฟแรงแห่งยุคอย่าง J.J. Abrahmห แล้ว ก็เลยกลายเป็นส่วนผสมแบบกึ่งกลางระหว่างภาค 1 และ 2 นั่นก็คือการมีฉากแอคชั่นที่มันส์ระห่ำกันตั้งแต่ฉากเปิด อีกทั้งยังมีเรื่องราวสุดเข้มข้นที่ชวนติดตามได้ด้วย
หนังเปิดเรื่องมาได้น่าสนใจมากๆ กับการที่เผยให้เห็นฉากในช่วงท้ายก่อนเกี่ยวกับ ตีนกระต่ายอะไรที่สักอย่าง ที่โอเว่น ถามหาจากอีธาน ก่อนที่เขาจะทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด จากนั้นค่อยย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซึ่งในระหว่างทางหนังก็มีลูกล่อลูกชนและสร้างความปั่นป่วนให้กับคนดูอีกในส่วนของการไปเอาสิ่งที่เรียกว่าตีนกระต่ายกลับมา ซึ่งก็ทำให้ตัวหนังมีความน่าติดตามเป็นอย่างมาก ทั้งจุดเปลี่ยนอีกอย่างของหนังก็คือการสร้างตัวละครแบบเป็นทีม (นึกถึงหนังอย่าง Fast) ที่สามารถแต่งเติมเสริมอะไรได้มากกว่าการฉายเดี่ยวในแบบภาคที่ผ่านๆ มา ซึ่งคาแรคเตอร์แต่ละคนก็น่าสนใจและสร้างสีสันให้หนังได้ดี ไม่ใช่แค่ใส่เข้ามาเป็นตัวประกอบเฉยๆ
ด้านงานแอคชั่นในภาคนี้ก็จัดเต็มดีมากๆ ตั้งแต่ฉากเริ่มที่เหล่าตัวเอกต้องถูกเครื่องบินไล่สอยตรงสะพานก็น่าตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย ไปจนถึงภารกิจกระโดดลงจากตึก ก็ทำออกมาได้สนุก และสร้างสรรค์มากๆ อีกทั้งยังมีการเติมพาร์ทความรักให้เข้ามาในชีวิตสายลับได้อย่างน่าสนใจ พอยิ่งผสมผสานกับเรื่องราวที่ชวนติดตามแล้ว เลยทำให้ภาคนี้มีความกลมกล่มดีเลยระหว่างความเป็นหนัง Blockbuster กับหนังสายลับดีๆ สักเรื่อง และนับเป็นภาคที่ชอบมากๆ เลย ซึ่งข้อเสียอย่างเดียวก็น่าจะเป็นแค่ฉากไคลแม็กซ์ที่อ่อนมาก เมื่อเทียบกับฉากอื่นๆ ของหนัง ซ่ึ่งดูเหมือนจะเป็นนิสัยของผู้กำกับอยู่แล้ว ที่ทำฉากจบได้ไม่เคยพีคสักที
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Tom Cruise เล่นฉากแอคชั่นในหนังเองทั้งหมด โดยที่ส่วนมากแทบไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย ยกเว้นในฉากนึงที่เขากระดูกหัก หลังจากที่ขยับตัวเร็วเกินไป
- Mission Impossible III มีทุกสร้างถึง $150 ล้าน ซึ่งนับว่าเป็นต้นทุนที่สูงที่สดที่เคยมีการมอบให้กับผู้กำกับที่ทำหนังเป็นเรื่องแรก
- นี่คือผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของผู้กำกับ J.J Abrahms ที่ก่อนหน้าดังมากจากซีรี่ส์อย่าง Lost และ Alias