All Quiet on the Western Front (2022)

แนวรบด้านตะวันตก

All Quiet on the Western Front Poster
8.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังสงครามที่ตีความด้วยมุมมองใหม่ นำเสนออีกด้านของเยอรมัน เป็นความโหดร้ายที่พรากชีวิตคนบริสุทธิ์ ที่ไม่มีใครรู้เลยว่าพวกเขาหลอกล่อคนในชาติไปรบ

หมวดหมู่ : Drama War
สัญชาติ : Germany
กำกับโดย : Edward Berger
ความยาว : 2 ชั่วโมง 23 นาที
นักแสดงนำ : Felix Kammerer, Daniel Brühl, Albrecht Schuch

คำคมจากภาพยนตร์

"All That's Left Separating Us From An Armistice Is False Pride."
"สิ่งที่เหลืออยู่ที่แยกเราออกจากการสงบศึกคือความหยิ่งผยอง"

เรื่องย่อ

Paul Baumer เด็กหนุ่มชาวเยอรมัน ผู้คลั่งไคล้ในเรื่องราวของกองทัพและสงคราม กับเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียน ที่ได้อาสาไปรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขายินดีรับใช้ชาติถึงขั้นยอมปลอมลายเซ็นต์ผู้ปกครองเพื่อไปตะลุยสงครามของจริง และความฝันค่านิยมที่ถูกปลูกฝังว่าคงจะไปเป็นวีรบุรุษในสงคราม และคำชื่นชมว่าเป็นทหารผ่านศึก ตามคำกล่าวปลุกใจของอาจารย์ในโรงเรียน สภาพการเป็นทหารที่แท้จริงที่เขาเผชิญนั้นไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด คือสิ่งที่รอเขาอยู่ข้างหน้า แม้แต่ชุดทหารที่เขาสวมใส่อยู่เขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมาจากศพรุ่นสู่รุ่น เพียงไม่นาน Paul ก็เริ่มตาสว่างอย่างรวดเร็ว และรู้เลยว่านี่ไม่ใช่เรื่องสนุกอย่างที่คิดเอาไว้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ All Quiet on the Western Front ว่ากันว่านี่คือ 1917 ในเวอร์ชั่นคนพ่ายแพ้อย่างเยอรมัน ถ้าพูดแบบเป็นกลางจริงๆเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ปกติเรามักจะดูหรือจดจำหนังสงครามในมุมมองคนชนะอย่างเดียว ไม่มีใคร ไม่มีสตูดิโอหน้าไหนมาจดจำหรืออยากนำเสนอเรื่องราวของคนแพ้ แต่นี่แหละหนังเรื่องนี้พอทำด้วยคนเยอรมัน ย่อมมีความเข้าอกเข้าใจมุมมองแบบคนดอยซ์จริงๆ หนังที่เป็นตัวแทนจากเยอรมันเข้าชิงออสการ์ 2022 ที่นำเสนอมุมมองของคนเยอรมันที่ต้องพบเจอกับความสูญเสียเพราะความบ้าอำนาจของคนไม่กี่คนสุดท้ายกลายเป็นความโหดร้ายที่คนมากมายพบกับจุดจบอันน่าเศร้า นี่ไม่ใช่หนังสงครามที่ถูกอกถูกใจใคร เน้นเล่าในมุมมองคนแพ้ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมา ทำให้เข้าอกเข้าใจความเป็นมนุษย์จริงๆ

  • สายหนังสงคราม
  • สายหนังรางวัลคุณภาพดี

รีวิว / สรุปเนื้อหา

สงครามสร้างบาดแผลสร้างความสูญเสียของผู้คนชาวเยอรมัน และเป็นเรื่องยากที่คนเมืองเบียร์จะลืมเลือนไปได้ World War 1 ที่เยอรมันหวังตั้งตัวเป็นใหญ่ ใช้คำพูดสวยหรูพร่ำสอนคนในชาติถึงการเป็นทหารมันดูเท่ห์ โดยไม่รู้เลยว่าจิงๆแล้วความโหดร้ายของสงครามมันเริ่มจากคนเยอรมันที่ไปบุกรุกแผ่นดินคนอื่น เกณฑ์คนในชาติไปรบ มันไม่น่ายินดีหรือน่าภูมิใจเหมือนโฆษณาชวนเชื่อของนายพลผู้มีอำนาจเลย คนเหล่านี้ก็แค่หลอกใช้คนตาดำๆเป็นเครื่องมือ ปลุกเร้าให้รักชาติตื่นเต้นไปกับสงคราม ยกย่อปอปันว่าเราเป็นชาติมหาอำนาจแต่สุดท้ายมันกลายเป็นความเลวร้าย หวาดกลัวที่น่าสยดสยอง การเกริ่นนำต้นเรื่องของหนังคือการพาไปสัมผัสวิธีการของกองทัพเยอรมัน ที่ใช้โรงเรียน สถานที่ต่างๆชวนชื่นหลอกล่อคน คนไม่รู้ก็หลงเชื่อไปรบ โดยไม่รู้เลยว่าอาจไม่มีชีวิตรอดกลับมา หนังเรื่องนี้ไม่ได้เหมือน Jojo Rabbit ที่ออกแนวตลกด่านาซี แต่เรื่องนี้ตีความในมุมมองแบบคนดอยซ์จริงๆ คนไม่มีประสบการณ์มักอ่อนหัดหลงเชื่อเป็นเรื่องธรรมดา การอยู่บนดงสงครามกับระเบิด ไร้ประสบการณ์การรบ ทำให้คนมากมายเอาตัวไม่รอด ความฝันอันสวยหรูพังทลายลงทันที เด็กหนุ่มเหล่านี้แค่เครื่องมือและชักใยเข้าสู่สงครามที่พวกเขามารู้ตัวอีกทีคือเยอรมันเพลี่ยงพล้ำและกำลังจะพ่ายแพ้ และอยู่ในเกมการเมืองของคนมีอำนาจไม่กี่คน

ความโหดร้ายที่หนังสื่ออกมาทำได้ยอดเยี่ยม เมื่อเล่าในมุมมองเยอรมันย่อมเข้าอกเข้าใจได้ดีกว่า การออกแบบโลเคชั่น ฉากการถ่ายทำฉากสงคราม เซ็ตฉากออกมาได้ดี หนังเล่าเสี้ยวหนึ่งของประวคิศาสตร์ที่โหดร้าย ที่เยอรมันสูญเสียผู้คนถึง 3 ล้านคน เพื่อเพราะต้องการยึกพื้นที่ศัตรูไม่กี่ 100 เมตร โดยที่เด็กมากมายหลายๆคนไม่ได้กลับบ้านไปเรียนหนังสือไปพบพ่อแม่ เพราะมาเป็นเหยื่อสังเวยความบ้าอำนาจ มันทำให้เราได้เห็นถึงฉากสงครามที่โดดเด่น นำเสนอฉากสู้รบออกมาได้น่ากลัว จริงจัง เต็มไปด้วยความโหดร้ายและความรุนแรง เป็นภาพและบรรยากาศชนิดที่เรียกว่าโหดร้าย ดูแล้วมันน่าสะเทือนใจ หนังเรื่องนี้ไม่ได้ชูว่าใครชนะ ใครได้เปรียบเสียเปรียบ แต่มันเจาะลึกไปยังจุดจบที่น่าอนาถของเด็กเยอรมัน หนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการต่อสู้กับใคร แต่พูดถึงการต่อสู้กับสภาพจิตใจตัวเองของตัวละครที่ต้องมีสติมีชีวิตรอดไปให้ได้ ฉากระเบิด ฉากสงคราม ซาวด์ประกอบ การมิกซ์เสียงให้อารมณ์เหมือนพาไปอยู่ในดงสงครามจริงๆ เสน่ห์ของหนังแทบทุกฉากรบดึงอารมณ์คนดูได้อยู่หมัด มันเป็นการฉายภาพความโหดร้ายที่น่าหดหู่ ไม่แปลกใจที่คนเยอรมันไม่มีใครอยากพูดถึงความพ่ายแพ้ในแง่ของสงครามอีก มันคือความสูญเสียที่กระทบห้วงอารมณ์ความรู้สึกของคนในชาติจริงๆ

ส่วนในด้านการแสดงคงไม่มีใครน่าจดจำเท่ากับ Felix Kammerer เจ้าของบท Paul ทหารหนุ่มที่หลงเชื่อคารมณ์คนมีอำนาจเป็นทหารดูเท่ห์มีเกียรติยศที่ดีได้รับการยอมรับ ที่ต้องมากระเสือกกระสนหนีตายในสงคราม เขาต้องเล่นเป็นคนไร้ชีวิตไร้ความฝัน ต้องพบเจอความโหดร้ายทำให้เด็กหนุ่มที่ควรจะเติบโตไปในสภาพสังคมที่ดีกลายเป็นคนสิ้นหวัง ชื่นชมที่เขาสามารถตีความคาแรกเตอร์ตัวละครทั้งสุขและเศร้าออกมาได้น่าทึ่ง ด้าน Daniel Brühl หรือ Zemo เจ้าของบท นักการทูตชาวเยอรมันต้องแข่งขันกับเวลาเพื่อลงนามในสัญญาสงบศึกให้สำเร็จ พี่แกนี่ดาราเจ้าบทบาทของจริง เหมาะมากกับบทร้าย

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • หนังเป็นตัวแทนเยอรมันเข้าชิงออสการ์ 2022 ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
  • นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ All Quiet on the Western Front ถูกดัดแปลงทำเป็นภาพยนตร์