เรื่องย่อ

ซูอี้ รอดชีวิตจากเกมห้องปริศนาแล้วค้นพบว่ามี องค์กรมินอส อยู่เบื้องหลังเกมทั้งหมด ทำให้เธอตามสืบด้วยตนเองเพื่อตีแผ่ความจริง ทว่าสิ่งที่เธอไม่รู้คือเธอยังคงอยู่ในกำมือและเกมอำมหิตของมินอส เมื่อต้องกลับมาเล่นเกมโดยแข่งกับผู้ชนะจากเกมรอบอื่น ๆ ครั้งนี้จึงน่าลุ้นว่าเธอจะพบความจริงก่อนหรือสูญเสียสิ่งสำคัญไปก่อนกันแน่

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Escape Room 2 น่าจะเหมาะกับคนที่ชอบหนังสายเอาชีวิตรอด ฝ่าด่าน ฝ่ากับดักต่างๆ ในแบบที่อยากดูแบบบันเทิงเบาๆ ไม่ต้องโหดเลือดสาดอะไรมาก ในแง่ดีก็คือเรื่องนี้คือตอบโจทย์สายนี้เลย แต่สำหรับคอหนังสายโหดติดเรทนั้นก็อาจจะรู้สึกว่ามันเบาไปเสียหน่อย ภาค 2 อาจไม่ได้ดูแล้วมันส์สะใจ   แต่ถึงอย่างไรมาก็ชดเชยมาในแง่ความสร้างสรรค์ผ่านการออกแบบห้องต่างๆ ในออกมาดูน่าสนใจ และเพลิดเพลินไปกับปริศนาในห้องเหล่านั้นได้อยู่ตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าหนังอาจจะไม่โหดร้ายเท่า Saw หรือ The Cube แต่ก็มีความเฉพาะตัวให้น่าติดตามอยู่ดี

• สายหนังระทึกขวัญเอาชีวิตรอด
• สายหนังระทึกขวัญไขปริศนา
• สายหนังพล็อตเรื่องเจ๋ง

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ไม่ได้เป็นเป็นแฟนหนังเรื่องนี้ในทีแรก แต่พอมาดูแล้วความรู้สึกเปลี่ยนไปทันที หนังไต่ระดับความมันส์ชนิดแบบที่เราไม่ได้หายใจเลยก็ว่าได้มันเข้าข่ายลุ้นระทึกทำคนดูหัวใจแทบวาย หนังเดินเครื่องอย่างรวดเร็ว พล็อตมีความใกล้เคียงกับ Saw แต่ไม่เข้าข่ายโหดเลือดสาดตายสยดสยองแบบนั้น การเล่าเรื่องในภาคนี้มีชั้นเชิงไม่ยึดโยงจากโครงเรื่องแบบภาคแรก จับคนชนะเกมในครั้งที่แล้วมารวมตัวเล่นเกมกันใหม่อีกครั้ง ด่านใหม่ไอเดียใหม่ ใส่วิธีฆ่าคนที่เลือดเย็นลงไป หนังภาค 2 จึงไม่ได้ขายฉากเล่นงานคนเพียงอย่างเดียว แต่เหมือนจะใส่ลูกเล่นให้คนเข้าแข่งขันแก้เกมยังไง งัดไหวพริบรอบตัวที่มีออกมาใช้ คุมสติไม่ให้แตก เพื่อประคับประคองตัวเองเพื่อให้เอาตัวรอดออกจากกับดักที่ถูกวางเอาไว้ในแต่ละห้อง บรรยากาศในหนังค่อนข้างระทึกขวัญแต่ไม่ได้น่ากลัว ซาวด์ประกอบช่วยปรุงแต่งมิกซ์ให้หนังดูเร้าใจมากกว่า

ภาคนี้เหมือนว่าเราได้เห็นมุมมองใหม่จากหนัง เพราะเราแทบไม่เห็นความเห็นแก่ตัวของตัวละครเลย บางคนเสียสละชีวิตให้แก่คนแปลกหน้าที่แทบไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ หนังเขียนบทมาดีหนีกรอบความจำเจจากภาคก่อนทิ้งไป เรามองว่าหนังพยายามหาลูกเล่นใหม่ใส่ลงไป พยายามขยายจักรวาลให้กว้างขึ้น การดีไซต์เกมแต่ละฉากได้อลังการใช้ได้ 4-5 ห้องถูกออกแบบมาให้ดูโหด ไม่รู้ว่าคนเขียนบทตัวบงการเกมคิดได้ยังไงใช้องค์ประกอบรอบข้างได้คุ้มค่า ตั้งแต่ด่านแรกโบกี้บนรถไฟ ถ้าเป็นคนจริงๆไปเล่นคงไม่น่ารอด เพราะแวดล้อมในซีนนั้นมันช่างขนลุกเสี่ยวสันหลัง มันเป็นการออกแบบที่บีบหัวใจผู้ชมให้ลุ้นตามไปด้วย ไม่คิดว่ากลยุทธ์ที่เล่นมันดูดาร์คดีแหะ ใส่ความเป็นเรต R ลงไป หนังหยิบเอาลูกเล่นที่ไม่มีใครคิดว่าจะมาสังหารคนให้ตายได้ออกมาใช้ใน 3 ด่านที่เหลือ คอนเซ็ปต์ไอเดียต่างๆที่หยิบความเป็นความตายมาโยงใยกับความระทึกขวัญ ทำได้สะใจแฟนหนังสายดาร์ค เพราะทุกฉากมันยุ่งเยิงวุ่นวายไปหมด

มาพูดถึงนักแสดงนำกันบ้าง Taylor Russell หรือโซอี้ ตัวละครจากภาคแรกที่กลับมารับบทนำอีกครั้ง ได้เห็นเธอในหลายๆคาแรกเตอร์ในหนังเรื่องเดียว นิ่ง สุขุม เยือกเย็น แล้วก็ดิ้นรนเอาตัวรอด เธอต้องแก้เกมสาระพัดเพื่อช่วยให้ตัวเองมีชีวิตรอด และช่วยคนรอบข้างให้รอดกลับออกไปจากเกม เหมือนเธอต้องคีย์แมนหลักในแทบทุกด่าน ส่วนบทรองหนังสามารถเกลี่ยน้ำหนักพื้นที่การแสดงให้เพื่อนร่วมชะตากรรมได้พอเหมาะพอเจาะไม่มีใครเล่นได้รู้สึกเบื่อน่าหงุดหงิดใจทั้ง Logan Miller, Indya Moore, Deborah Ann Woll, Thomas Cocquerel องค์ประกอบช่วงกลางเรื่องไปยังช่วงใกล้หนังจบได้เห็นพลังของนักแสดงที่สื่อสารออกมาได้ดีเกินคาด กลายเป็นว่ารับส่งบทกันได้ลงตัวเป็นทีมเวิร์ค