The Social Network (2010)
เดอะ โซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค
คะแนน
โกดังหนัง
หนังสายธุรกิจที่พาคนดูไปสำรวจถึงจุดเริ่มต้นของ Facebook ผ่านเรื่องราวการแตกหัก หักหลัง และมิตรภาพที่พังทลายลงของกลุ่มผู้เริ่มต้น
คำคมจากภาพยนตร์
“The toughest tests in life don’t happen in toughest times, but after” “บททดสอบที่ยากที่สุดในชีวิต ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด แต่มันคือหลังจากนั้น
เรื่องย่อ
เรื่องราวของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก นักศึกษาไอทีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่เพิ่งถูกสาวบอกเลิกมาหมาด ๆ และด้วยความคึกคะนองเขาจึงแฮคเข้าไปในระบบของมหาวิทยาลัยเพื่อดึงรูปนักศึกษาสาวทั้งหลายมา เพื่อให้ผู้คนร่วมกันโหวตว่าใครสวย หรือฮอทกว่ากัน แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องอื้อฉาวแต่สุดท้ายผลงานก็ดันไปเข้าตาฝาแฝดคู่หนึ่งที่คาดหวังให้เขามาช่วยทำเว็บไซต์ฮาร์วาร์ดคอนเนคชั่น เพื่อเป็นชุมชนออนไลน์ของสถาบัน และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่นำมาสู่นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่อย่าง Facebook ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Social Network นั้นเป็นหนังที่เหมาะที่กับทุกคนที่ยังใช้เจ้า Social Media อย่าง Facebook ในทุกวันนี้ แล้วดันเกิดโมเมนท์สงสัยว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร และซีอีโออย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค เป็นคนแบบไหนแล้ว ก็ควรจะได้ลองมีโอกาสดูหนังเรื่องนี้สักครั้ง เพราะมันเล่าตั้งแต่จุดกำเนิดอย่างแท้จริง รวมถึงยังได้เห็นแนวคิดและทัศนคติต่างๆ ในการทำธุรกิจด้วย แต่จะเชื่อหนังมากน้อยขนาดไหนก็อีกเรื่อง เพราะตัวเรื่องราวเองก็ไม่ได้ออกมาจากปากเจ้าตัวโดยตรงแต่อย่างใด แต่เอาเป็นว่าชอบหนังสไตล์ชีวประวัติคนดังสายเทคแบบ Steve Jobs อยู่แล้ว The Social Network ก็เป็นมุมพี่มาร์คที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
- สายหนังดราม่าชีวประวัติ
- สายหนังรางวัลคุณภาพ
- สายหนังดราม่าสายรางวัล
รีวิว / สรุปเนื้อหา
แม้จะเป็นหนังที่ว่าด้วยชีวประวัติของนายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กเป็นหลัก แต่ทว่าก็ต้องเผื่อใจในเรื่อง Fact เอาไว้สักนิด เพราะตัวหนังเองนั้นก็เอามาจากหนังสือที่มีชื่อว่า Accidental Billionaire และตัว มาร์ค เองก็ดูเหมือนจะไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรจากปากตัวเองเลย ทำให้เนื้อหาในหนังต่างรวบรวมมาจากสภาพแวดล้อมภายนอกแทบทั้งนั้น แต่นั่นก็เป็นข้อดี ที่ทำให้หนังสามารถสร้างดราม่าเพื่อความบันเทิงออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยที่ยึดอิงความจริงหลายๆ อย่างที่หลายๆ คนก็เคยได้ยินกันเอาไว้ แต่ก็ต้องยอมเสียมุมมองที่มาจากเจ้าตัวเองไปเช่นกัน
คุณภาพที่แท้จริงของหนังน่าจะเกิดจาก 3 ปัจจัยเป็นหลัก เริ่มตั้งแต่ตัวผู้กำกับอย่างเดวิด ฟินเชอร์ ที่ขึ้นชื่อกันอยู่แล้วในเรื่องงานอันแสนเนี้ยน และไม่ปล่อยฉากลวกออกไปง่าย แม้ว่าดาราเหล่านั้นจะต้องถ่ายใหม่อีกหลาย 10 เทคก็ตาม ทำให้คุณภาพอันดับแรกก็มาแล้ว ต่อมาในส่วนที่สองที่ช่วยหนังได้เป็นอย่างดีก็คือคนเขียนบทอย่าง อารอน ซอร์คิน ที่แต่งเติมสีสันเรื่องราวออกมาได้สนุก ละเอียด ละเมียดละไม ในขณะเดียวกันก็ใส่บทพูดรัวไม่ยั้ง ในการต่อปากต่อคำของตัวละครจนต้องซูฮกงานไดอาล็อคของเขาในแบบเดียวกันกับทุกเรื่องที่ทำมาจริงๆ
ในส่วนสุดท้ายนั้นก้คือทีมดาราคุณภาพ และเจสซี ไอเซนเบิร์กเองก็เป็นตัวเลือกชั้นดีที่เอามาเล่นเป็นมาร์คมากๆ แม้ว่าโครงหน้าหรืออะไรอาจจะไม่ค่อยเหมือนมาร์คเท่าไรนัก แต่ในตัวบทบาทและบุคลิกเขาดันทำออกมาได้คล้ายกัน ไปจนถึงการรัวแรพบทพูดของแอรอน ที่เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย จนไม่แปลกใจนักหากตัวหนังจะโลดแล่นบนเวทีรางวัลได้อย่างสวยงาม และได้รางวัลออสการ์ในสาขา บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, งานตัดต่อยอดเยี่ยม และสกอร์ยอดเยี่ยมมาครองจากการเข้าชิงถึง 8 สาขาด้วย
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ด้วยความที่เฮียมาร์คเหมือนโดนกล่าวหาถึงนิสัยบางอย่างในหนัง เขาเลยมีความคิดที่จะไม่ดูหนังเรื่องนี้ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ พร้อมกับพนักงานของเขาอีกกลุ่มหนึ่งไปดู พร้อมทั้งออกมาบอกว่า แม้ว่ารายละเอียดหลายๆ อย่างในเรื่องจะตรงกับความเป็นจริง แต่อย่างน้อยๆ การแต่งตัวนี่แหละที่เหมือนเป๊ะ
- หลังจากคัดตัวนักแสดงมาแล้ว ผู้กำกับ David Fincher ต้องสั่งห้ามบรรดานักแสดงไม่ให้เจอกันในชีวิตจริงโดยเด็ดขาดจนกว่าจะถ่ายทำเสร็จ เพราะกังวลว่าความสนิทสนมจะทำให้เล่นบทที่แตกหักกันได้ยาก
- จริงๆ แล้ว Andrew Garfield ถูกให้มาคัดตัวในบทของ Mark Zuckerberg แต่สุดท้ายแล้วผู้กำกับ David Fincher กลับมองว่าเขาดูดีเกินไป จนสุดท้ายก็เลยได้บท เพื่อนรัก (โดน) หักเหลี่ยมโหดมาแทน