The Social Network (2010)

เดอะ โซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค

The Social Network Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังสายธุรกิจที่พาคนดูไปสำรวจถึงจุดเริ่มต้นของ Facebook ผ่านเรื่องราวการแตกหัก หักหลัง และมิตรภาพที่พังทลายลงของกลุ่มผู้เริ่มต้น

หมวดหมู่ : Biography Drama
สัญชาติ : American
กำกับโดย : David Fincher
ความยาว : 2 ชั่วโมง 0 นาที
นักแสดงนำ : Jesse Eisenberg, Andrew Garfield, Justin Timberlake

คำคมจากภาพยนตร์

“The toughest tests in life don’t happen in toughest times, but after” “บททดสอบที่ยากที่สุดในชีวิต ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด แต่มันคือหลังจากนั้น

เรื่องย่อ

เรื่องราวของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก นักศึกษาไอทีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่เพิ่งถูกสาวบอกเลิกมาหมาด ๆ และด้วยความคึกคะนองเขาจึงแฮคเข้าไปในระบบของมหาวิทยาลัยเพื่อดึงรูปนักศึกษาสาวทั้งหลายมา เพื่อให้ผู้คนร่วมกันโหวตว่าใครสวย หรือฮอทกว่ากัน แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องอื้อฉาวแต่สุดท้ายผลงานก็ดันไปเข้าตาฝาแฝดคู่หนึ่งที่คาดหวังให้เขามาช่วยทำเว็บไซต์ฮาร์วาร์ดคอนเนคชั่น เพื่อเป็นชุมชนออนไลน์ของสถาบัน และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่นำมาสู่นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่อย่าง Facebook ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ The Social Network นั้นเป็นหนังที่เหมาะที่กับทุกคนที่ยังใช้เจ้า Social Media อย่าง Facebook ในทุกวันนี้ แล้วดันเกิดโมเมนท์สงสัยว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร และซีอีโออย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค เป็นคนแบบไหนแล้ว ก็ควรจะได้ลองมีโอกาสดูหนังเรื่องนี้สักครั้ง เพราะมันเล่าตั้งแต่จุดกำเนิดอย่างแท้จริง รวมถึงยังได้เห็นแนวคิดและทัศนคติต่างๆ ในการทำธุรกิจด้วย แต่จะเชื่อหนังมากน้อยขนาดไหนก็อีกเรื่อง เพราะตัวเรื่องราวเองก็ไม่ได้ออกมาจากปากเจ้าตัวโดยตรงแต่อย่างใด แต่เอาเป็นว่าชอบหนังสไตล์ชีวประวัติคนดังสายเทคแบบ Steve Jobs อยู่แล้ว The Social Network ก็เป็นมุมพี่มาร์คที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

  • สายหนังดราม่าชีวประวัติ
  • สายหนังรางวัลคุณภาพ
  • สายหนังดราม่าสายรางวัล

รีวิว / สรุปเนื้อหา

แม้จะเป็นหนังที่ว่าด้วยชีวประวัติของนายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กเป็นหลัก แต่ทว่าก็ต้องเผื่อใจในเรื่อง Fact เอาไว้สักนิด เพราะตัวหนังเองนั้นก็เอามาจากหนังสือที่มีชื่อว่า Accidental Billionaire และตัว มาร์ค เองก็ดูเหมือนจะไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรจากปากตัวเองเลย ทำให้เนื้อหาในหนังต่างรวบรวมมาจากสภาพแวดล้อมภายนอกแทบทั้งนั้น แต่นั่นก็เป็นข้อดี ที่ทำให้หนังสามารถสร้างดราม่าเพื่อความบันเทิงออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยที่ยึดอิงความจริงหลายๆ อย่างที่หลายๆ คนก็เคยได้ยินกันเอาไว้ แต่ก็ต้องยอมเสียมุมมองที่มาจากเจ้าตัวเองไปเช่นกัน

คุณภาพที่แท้จริงของหนังน่าจะเกิดจาก 3 ปัจจัยเป็นหลัก เริ่มตั้งแต่ตัวผู้กำกับอย่างเดวิด ฟินเชอร์ ที่ขึ้นชื่อกันอยู่แล้วในเรื่องงานอันแสนเนี้ยน และไม่ปล่อยฉากลวกออกไปง่าย แม้ว่าดาราเหล่านั้นจะต้องถ่ายใหม่อีกหลาย 10 เทคก็ตาม ทำให้คุณภาพอันดับแรกก็มาแล้ว ต่อมาในส่วนที่สองที่ช่วยหนังได้เป็นอย่างดีก็คือคนเขียนบทอย่าง อารอน ซอร์คิน ที่แต่งเติมสีสันเรื่องราวออกมาได้สนุก ละเอียด ละเมียดละไม ในขณะเดียวกันก็ใส่บทพูดรัวไม่ยั้ง ในการต่อปากต่อคำของตัวละครจนต้องซูฮกงานไดอาล็อคของเขาในแบบเดียวกันกับทุกเรื่องที่ทำมาจริงๆ

ในส่วนสุดท้ายนั้นก้คือทีมดาราคุณภาพ และเจสซี ไอเซนเบิร์กเองก็เป็นตัวเลือกชั้นดีที่เอามาเล่นเป็นมาร์คมากๆ แม้ว่าโครงหน้าหรืออะไรอาจจะไม่ค่อยเหมือนมาร์คเท่าไรนัก แต่ในตัวบทบาทและบุคลิกเขาดันทำออกมาได้คล้ายกัน ไปจนถึงการรัวแรพบทพูดของแอรอน ที่เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย จนไม่แปลกใจนักหากตัวหนังจะโลดแล่นบนเวทีรางวัลได้อย่างสวยงาม และได้รางวัลออสการ์ในสาขา บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, งานตัดต่อยอดเยี่ยม และสกอร์ยอดเยี่ยมมาครองจากการเข้าชิงถึง 8 สาขาด้วย

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ด้วยความที่เฮียมาร์คเหมือนโดนกล่าวหาถึงนิสัยบางอย่างในหนัง เขาเลยมีความคิดที่จะไม่ดูหนังเรื่องนี้ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ พร้อมกับพนักงานของเขาอีกกลุ่มหนึ่งไปดู พร้อมทั้งออกมาบอกว่า แม้ว่ารายละเอียดหลายๆ อย่างในเรื่องจะตรงกับความเป็นจริง แต่อย่างน้อยๆ การแต่งตัวนี่แหละที่เหมือนเป๊ะ
  • หลังจากคัดตัวนักแสดงมาแล้ว ผู้กำกับ David Fincher ต้องสั่งห้ามบรรดานักแสดงไม่ให้เจอกันในชีวิตจริงโดยเด็ดขาดจนกว่าจะถ่ายทำเสร็จ เพราะกังวลว่าความสนิทสนมจะทำให้เล่นบทที่แตกหักกันได้ยาก
  • จริงๆ แล้ว Andrew Garfield ถูกให้มาคัดตัวในบทของ Mark Zuckerberg แต่สุดท้ายแล้วผู้กำกับ David Fincher กลับมองว่าเขาดูดีเกินไป จนสุดท้ายก็เลยได้บท เพื่อนรัก (โดน) หักเหลี่ยมโหดมาแทน