The Silence of the Lamb (1994)
อำมหิตไม่เงียบ
คะแนน
โกดังหนัง
หนังสืบสวนสอบสวนจิตวิทยาชั้นเยี่ยม ระดับรางวัลการันตี
จุดเริ่มต้นของการรู้จักฆาตกรอัจฉริยะกินเนื้อมนุษย์
คำคมจากภาพยนตร์
“A census taker once tried to test me. I ate his liver with some fava beans and a nice chianti.” “มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่เคยพยายามจะมาทดสอบฉัน ฉันเลยกินตับของเขา ควบคู่ไปกับถั่วฟาวา และ ไวน์เคียนติ ชั้นดี”
เรื่องย่อ
แคร์ลิซ สตาร์ลิง เจ้าหน้าที่ FBI ฝึกหัด ที่ได้รับมอบหมายให้สืบสวนคดีฆาตกรรมที่มีหญิงสาวหายตัวไป โดยเบาะแสพบว่าเกี่ยวข้องกับฆาตกรโรคจิตที่มีชื่อว่า บัฟฟาโล่ บิลล์ ที่มีความฉลาดอยู่ไม่น้อย จนการสืบสวนต้องพาไปถึงทางตัน แคร์ลิซ จึงต้องยอมไปขอความช่วยเหลือจาก ดร. ฮันนิบาล เลคเตอร์ ฆาตกรหมอสุดอำมหิตที่กินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร ในอีกมุมเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาขั้นเทพ ที่นอกจากจะให้ความช่วยเหลือกับเธอแล้ว ก็ใช้หลักจิตวิทยาในการปั่นหัวของเธอไปพร้อมๆ กัน
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Silence of the Lamb นั้น เราเห็นหลายคนที่ได้ดูในยุคหลังๆ ต่างไม่ค่อยรู้สึกถึงคุณงามความดีของมันเท่าคนยุคเก่าๆ ส่วนนึงอาจเป็นเพราะที่ผ่านมามีหนังสไตล์สืบสวนที่หวือหวาและมีความน่าติดตามกว่านี้ ในขณะที่หากมองลงไปลึกๆ แล้ว เราจะเห็นในส่วนของรายละเอียด ดีเทลในการสืบสวนสอบสวนชั้นดี ที่หาดูได้ยาก รวมถึงพลังการแสดงของคู่ตำรวจและฆาตกรเอง ก็อยู่ในระดับทรงพลังจนยากจะหาหนังสืบสวนเรื่องไหนมาทัดเทียม ซึ่งถ้าใครชอบหนังสืบสวนที่เน้นการสืบจริงๆ ในยุค 90s แบบหนังอย่าง Seven หรือยุคใหม่กว่าแต่สไตล์เดียวกันอย่าง Zodiac แล้ว The Silence of the Lamb ก็คือชั้นอ๋องของยุคนั้นเลย
- สายหนังสืบสวนจิตวิทยา
- สายหนังเจาะใจฆาตกร
- สายหนังรางวัลการันตี
รีวิว / สรุปเนื้อหา
จากนิยายขายดีของ Thomas Harris ที่สร้างตำนานของ ฮันนิบาล เลคเตอร์ ฆาตกรอัจฉริยะกินคน ออกมาในหลากหลายช่วงอายุ สู่ฉบับหนังครั้งแรกใน The Silence of the Lambs ที่เป็นหนังสือภาค 2 ในปี 1988 (ต่อจาก Red Dragon) ที่มาปุ้บ ก็สอยรางวัลเรียบปั๊บ ทั้งรางวัลใหญ่ๆ อย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีนั้น ดาราทั้งนำชาย นำหญิง ผู้กำกับ หรือบทยอดเยี่ยม ก็เรียกได้ว่ากวาดมาจนหมด ด้วยตัวบทต้นฉบับที่ดีอยู่แล้ว ในแง่ของการทำพาร์ทสืบสวนและจิตวิทยาที่เข้มข้น อันเป็นเอกลักษณ์ของฆาตกรตัวเอกในเรื่อง ที่ชวนค้นหา และสำรวจสภาพจิตใจได้เป็นอย่างดี
ซึ่งการนำมาขึ้นจอใหญ่ ด้วยพลังการแสดงของ Sir Anthony Hopkins ที่รับบท ฮันนิบาล นี้ ก็สร้างความน่ากลัว ปล่อยกระแสความอำมหิต และสยดสยองได้ในทุกฉากที่มีเขาปรากฏตัวออกมา ทั้งการแสดงออกทางสีหน้า อารมณ์ น้ำเสียง จนเราไม่แปลกใจนักที่ทำไม Jodie Foster ถึงแสดงออกถึงความหวาดกลัวขึ้นมาได้อย่างแท้จริง และการเข้าฉากกันของทั้งสอง ล้วนแต่มีพลังเต็มเปี่ยมปะทะหากันอยู่ตลอด แต่เป็นในแง่ที่ต่างฝ่ายก็ต่างเสริมคุณค่าให้แก่กันจนโดดเด่นมากพอที่จะได้รางวัลดารานำติดมือกลับมาทั้งคู่
ในด้านจังหวะการเดินเรื่องถือว่าสนุกมากๆ สำหรับคอหนังสืบสวน ที่ใส่รายละเอียดต่างๆ เข้ามาอย่างใส่ใจ ในทุกๆ ฉากล้วนแล้วแต่มีความหมาย ทั้งบทสนทนาเอย พฤติกรรมตัวละครเอย ก็ชวนเก็บมาคิดระหว่างดูแทบทั้งสิ้น ทำให้ตัวหนังมีความสนุกทั้งพาร์ทที่ แคร์ลิซ เองก็ต้องทำคดีเพื่อไล่ล่า บัฟฟาโล่ บิลล์ ในขณะเดียวกันกับพาร์ทที่ต้องเผชิญหน้ากับ ฮันนิบาล จนโดนล้วงลึกถึงปมในจิตใจก็เป็นอีกส่วนที่ดีงามไม่แพ้กันไปด้วย จนแม้ว่าหนังจะมีภาคต่อ (และภาคต้น) ออกมาอีกถึง 3 ภาค ทั้ง Hannibal, Red Dragon, Hannibal Rising แต่ก็ไม่มีภาพไหนที่มีคุณงามความดีให้น่าจดจำเท่ากับภาคนี้อีกเลย
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ก่อนที่จะมารับบทฆาตกรอัจฉริยะสุดอำมหิตอย่าง Dr. Hannibal Lecter นั้น ดาราอย่าง Sir Anthony Hopkins ถึงกับต้องไปทำการบ้านโดยการศึกษารูปแบบของฆาตกรต่อเนื่อง รวมถึงยังต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจากในคุก เพื่อให้เข้าใจบรรดาคนที่เป็นฆาตกรอย่างแท้จริง และเข้าถึงบทบาทได้อย่างเต็มที่ ซึ่งการแสดงของเขาก็ทำให้ Jodie Foster เกิดความกลัวได้ขึ้นมาจริงๆ
- Sir Anthony Hopkins ได้รับรางวัลออสการ์สาขานำชายยอดเยี่ยมมาครอง ทั้งๆ ที่มีฉากที่ออกมาเพียง 24 นาที 52 วินาทีเท่านั้น จากช่วงเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง นับว่าเป็นบทบาทที่น้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ในขณะนั้นที่ได้รางวัลนำชายมา แพ้แค่เพียง David Niven จาก Separate Tables ในปี 1958 ที่ใช้เวลาแค่ 23 นาที 39 วินาทีเท่านั้น
- ทีมงาน FBI เข้ามามีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทั้งการให้คำแนะนำให้ เรื่องของวิทยาศาสตร์การวิเคราะห์พฤติกรรมเป็นอย่างดี เพราะทาง FBI ก็เล็งเห็นว่าหนังเรื่องนี้อาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้พวกเขาได้มีโอกาสรับเจ้าหน้าที่หญิงได้เพิ่มขึ้นด้วย จากบทบาทตำรวจหญิงแกร่งของ Jodie Foster