The Rock (1996)
ยึดนรกป้อมมหากาฬ
คะแนน
โกดังหนัง
สุดยอดหนังแอคชั่นสูตรสำเร็จแห่งยุค 90s นำทีมดาราสุดเท่ พร้อมฉากแอคชั่นระห่ำ มันส์ถึงใจ
คำคมจากภาพยนตร์
“I’ve been in jail longer than Nelson Mandela, so maybe you want me to run for president.”
“ฉันติดคุกมานานยิ่งกว่า Nelson Mandela ซะอีก
ถ้าอย่างนั้นแกคงอยากให้ฉันลงสมัครประธานาธิบดีไหมล่ะ”
เรื่องย่อ
สแตนลี่ย์ ก็อดสปีด FBI ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเคมี ที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ ต้องจับมือกับ จอห์น แพทริค เมสัน นักโทษชายที่ถูกขังลืมมาหลายปี แต่ทางการก็ต้องจำใจใช้ความสามารถของคนกลุ่มนี้ เพื่อเข้าไปทำภารกิจที่คุกอัลคาทราซ จากการก่อการร้ายของ พลจัตวา ฟรานซิส ฮัมเมล นายทหารที่ต้องการเรียกร้องสิทธิให้ทหารที่ไม่ได้รับเงินชดเชย จนจับตัวประกันพร้อมกับระเบิดเคมีเอาไว้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Rock นั้นจะเหมาะกับคอหนังแอคชั่นในยุค 90 อย่างแน่นอน ด้วยพล็อตที่เป็นสูตรสำเร็จที่คนก็แทบจะเดากันได้อยู่ละ แต่หนังก็จัดเต็มความเข้มข้น ทั้งคาแรคเตอร์พระเอกแบบน้า Cage บวกกับตัวเอกสไตล์แบดๆ อย่างปู่ Connery ที่อยู่ในมือของผู้กำกับสายแอคชั่นเอาใจตลาดแบบ Michael Bay แล้ว มันเลยกลายเป็นหนังแอคชั่นสุดมันส์อีกเรื่องที่คอหนังแอคชั่นยุค 90s จะต้องหลงรัก และตรงจริตกับคอหนังที่ชอบ Con Air, Face/Off หรือ Speed กันแบบสุดๆ
- สายหนังแอคชั่นยุค90
- สายหนังแอคชั่นสูตรสำเร็จ
รีวิว / สรุปเนื้อหา
The Rock น่าจะเป็นหนังอีกเรื่องที่หลายๆ คนต่างก็ยกให้เป็นหนังที่ดีที่สุดของผู้กำกับสายแอคชั่นระเบิดระเบ้อ อย่าง Michael Bay เลยก็ว่าได้ เพราะด้วยสไตล์หนังแอคชั่นแบบยุค 90 นั้นคืออะไรที่เหมาะกับพี่แกเหลือเกิน (แต่พอมาอยู่ในยุคนี้ หลายๆ เรื่องก็ดูเชยเหมือนปรับตัวมาไม่ทัน) ทั้งๆ ที่พล็อตเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากนัก แต่คงเป็นความเข้มข้นอัดแน่นไปด้วยจังหวะการเดินเรื่องที่ปูมาดี รวมไปถึงมิติของตัวละครที่น่าติดตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝั่งตัวร้าย ที่ปูมาให้ทั้งปมและปัญหาที่มาก่อนที่จะตัดสินใจก่อการร้ายในครั้งนี้ ก็น่าจะเป็นส่วนที่นำพาให้หนังมาถึงจุดที่คนชอบได้ไม่ยาก
อีกส่วนที่สร้างสีสันให้กับหนังได้ดี ก็คือการจับคู่ตัวเอกอย่างปู่ Sean Connery และ Nicolas Cage ที่เคมีเข้ากันได้เป็นอย่างดี ด้วยความที่คนนึงก็เป็นพระเอกสายบุ๋นที่แสนดี ส่วนอีกคนก็เป็นสไตล์ Antihero นักโทษเก่าแต่มือเก๋าถึงขนาดแหกคุก Alcatraz มาได้ ก็ทำให้เราสามารถเอาใจเชียร์กับภารกิจของพวกเขาได้เป็นอย่างดี และสนุกไปกับความต่างระหว่างสองรุ่นในการจิกกัด หักหลังกันตลอดทาง จนเป็นอีกเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังเลยก็ว่าได้
ด้วยองค์ประกอบที่ว่าทั้งหลาย เลยเปรียบเสมือนกับการแข่งทำอาหารที่ใช้วัตถุดิบที่เหมือนกัน แต่ด้วยฝีมือการปรุง และเติมรสชาติให้เด็ดกว่าเจ้าอื่นๆ ก็ทำให้มันออกมารสชาติอร่อยกว่า และกลมกล่มกว่าได้อย่างน่าสนใจ ด้วยความเฉพาะตัวของคนปรุงอย่าง Michael Bay ที่เอาเอกลักษณ์ของความแอคชั่นของตัวเอง ที่รู้จังหวะหนัก จังหวะผ่อน ก็ปรับโทนออกมาได้ดี ไปจนถึงฉากไคลแม็กซ์ก็เลยไปได้สุด แล้วยิ่งได้เสด็จพ่อ Hans Zimmer มาเป็นคนทำ Music ให้อีก มันยิ่งเสริมหนังเข้าไปใหญ่ และกลายเป็นอีกสกอร์โคตร Epic ที่ติดหูคนมาจนถึงทุกวันนี้ได้อีกด้วย
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Sean Connery บอกกับทาง Producer ว่าเขาขอที่พักเอาไว้ที่ Alcatraz (คุกในเรื่อง) เพราะไม่อยากเดินทางจากในเมืองข้ามมาถ่ายที่เกาะทุกวัน แล้วเขาก็ดันได้ซะด้วยสิ
- รอบพรีเมียร์ของหนังเรื่องนี้ถูกจัดขึ้นที่ Alcatraz เพื่อให้เข้ากับ Theme ในหนังซะด้วย
- ผู้กำกับ Michael Bay บอกว่า จริงๆ แล้วบทหนังที่ถูกเขียนขึ้นมานั้นมีโทนจริงจังและตึงเครียดกว่าตัวหนังที่ออกมามากๆ แต่คนที่มาเขียนบทเสริมให้ระหว่างถ่ายทำก็คือ Aaron Sorkin (ที่มีผลงานดีๆ มากมายมาจนถึงยุคนี้) มาปรับจูนบทให้กลมกล่อมขึ้นในแบบที่หนังออกมา