The Devil Wears Prada (2006)
นางมารสวมปราด้า
คะแนน
โกดังหนัง
หนังที่พาเราตื่นตาไปกับวงการนิตยสารแฟชั่นที่ดุเด็ดเผ็ดมันส์ แถมสอดแทรกประเด็นเรื่องการทำงานได้เป็นอย่างดี พร้อมทีมดาราสุดแซ่บต่างวัย
คำคมจากภาพยนตร์
“Let me know when your whole life goes up in smoke. Means it’s time for a promotion. “บอกฉันทีเมื่อชีวิตของเธอเริ่มเละเทะแล้ว เพราะนั่นหมายถึงเวลาจะที่ปรับตำแหน่ง”
เรื่องย่อ
แอนเดรีย สาวน้อยจบใหม่ไฟแรงที่จู่ได้รับการสอบสัมภาษณ์ในบริษัทที่ไม่ได้คาดฝันจากบริษัทเจ้าของนิตยสารแฟชั่นอันดับหนึ่ง ด้วยความที่แตกต่างไม่เหมือนใครของเธอนั้น ทำให้เข้าตา มิแรนด้า พรีสท์ลี่ บรรณาธิการสุดเฮี้ยบที่โด่งดังในวงการนิตยสารแฟชั่นระดับโลก ซึ่งงานที่เธอสอบผ่านนั้นก็คือการเป็นผู้ช่วยของมิแรนด้านั่นเอง แม้ตอนแรก แอนเดรีย จะดีใจที่ได้รับงานนี้มา แต่สุดท้ายเธอถึงได้รู้ว่าฝันร้ายในชีวิตเป็นอย่างไร เมื่อบอสใหม่ของเธอคนนี้สั่งงานเธอเป็นว่าเล่น แถมเธอยังต้องคอยซัพพอร์ททุกอย่างในชีวิตของเธอ
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Devel Wears Prada แม้จะดูเป็นหนัง Chick Lit สไตล์ชีวิตการทำงานของสาวๆ แต่แท้จริงแล้ว ตัวหนังก็มีมุมมองในการจัดสมดุลชีวิตในด้านต่าง ๆ ให้ลงตัวไม่เกิดปัญหาให้กับคนวัยทำงานในเพศ ทุกช่วงอายุได้เป็นอย่างดี เพราะหนังมันเล่าเรื่องได้ง่าย ๆ จนทำให้เราได้ดูหนังไป ย้อนกลับมาดูตัวเองไปด้วย รวมไปถึงข้อคิด เทคนิคการทำงานต่าง ๆ ที่น่าสนใจก็มีครบในหนังเรื่องนี้เหมือนกัน มันเลยเป็นหนังสไตล์หญิงทำงานแกร่งที่มีข้อคิดดีๆ แบบซีรี่ส์ Sex and the City หรือ Morning Glory อะไรแบบนี้แล้ว เรื่องนี้คือสนุก ตอบโจทย์ ได้อะไรกลับมามากๆ
- สายหนัง Chick Lit
- สายหนังพลังหญิง
- สายหนังข้อคิดวัยทำงาน
รีวิว / สรุปเนื้อหา
แม้หนังจะแปะหราถึงความเป็น Chick Lit ตั้งแต่ 2 ตัวละครหญิงและวงการแฟชั่นที่ผู้ชายอาจจะไม่อินเท่าไร แต่พอได้ดูไปกลับกลายเป็นว่าหนังมันสนุกขึ้นมาซะงั้น ด้วยความที่มันสร้างมาจากหนังสือชื่อดังในชื่อเดียวกัน ของ ลอเรน ไวส์เบอร์เกอร์ อดีตเด็กฝึกงานของนิตยสารแฟชั่นชื่อดังระดับโลกอย่าง Vouge ที่เป็นลูกมือของ แอนนา วิินทัวร์ เจ้าแม่วงการแฟชั่นผู้ทรงอิทธิพล และเธอนี่เองก็ได้เอาประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เคยได้รับ เสมือนเป็นการมาเมาท์ให้เพื่อนฟังผ่านทางตัวละครอย่างแอนเดรีย และมิแรนด้า และแน่นอนว่ามันก็มีการแต่งเติมทุกอย่างให้ออกมาชวนติดตามมากขึ้น
ความสนุกของหนังคือแม้จะเป็นวงการไกลตัวของหลายคนอย่างโลกแฟชั่นแล้ว แต่ทุกคนก็กลับเชื่อมโยงกับหนังได้ ในฐานะคนทำงานเหมือนกัน เพราะชีวิตคนทำงานไม่ว่าอาชีพใดก็น่าจะไม่ต่างกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องเจอกับเจ้านายที่บ้างาน ทำให้การดูหนังเรื่องนี้ มันทำให้คนดูได้มีโอกาสย้อนกลับมาดูชีวิตตัวเอง ว่าเรากำลังเป็นอย่างนั้นอยู่หรือไม่ เพราะมีประโยคหนึ่งของตัวละครอย่างมิแรนด้าที่มันช่างทิ่มแทงใจซะเหลือเกินอย่าง “ชัีวิตความรักพังไปหรือยัง ครอบครัวล่มสลายแล้วหรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว นั่นแหละคือสัญญาณที่เธอกำลังจะเจริญก้าวหน้า”
ส่วนที่หนังสร้างสรรค์ได้เด่นชัดที่สุดคงหนีไม่พ้นการแคสนักแสดงออกมาได้สุดปัง การเอา ป้าเมอรีล มาลงในบทของ มิแรนด้า เป็นอะไรที่ลงตัวมากที่สุด การแสดงของเธอที่ยิ้มแย้มต่อหน้าผู้คน แต่ลึกๆ แล้วเป็นนางมารร้ายในคราบหัวหน้าก็เป็นอะไรที่น่ากลัว และชวนบีบคั้นให้ตัวละครรอบข้างพังไปด้วยได้จริงๆ ส่วน แอน หัตถเวช ในเรื่องนี้ ก็เป็นบทที่ดี เป็นตัวละครที่มีการพัฒนามาโดยตลอด เราจะค่อยๆ เห็นเธอเดินหน้าเข้าสู่ด้านมืดของการทำงาน เพื่อความสำเร็จ จนกลายเป็นตัวอีกตัวละครที่น่าสงสารอยู่ไม่น้อย ทั้งหมดนี้คือส่วนผสมให้หนังเรื่องนี้ออกมาสนุก แซ่บ ได้ใจ และรักมันได้แม้ว่าจะชอบหนังสไตล์ Chick Lit หรือไม่ก็ตาม
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- บรรดาแฟชั่นดีไซน์เนอร์ต่างๆ ยอมให้ใช้ชุดและเครื่องประดับของพวกเขามาใช้ในหนังเรื่องนี้ นั้นเลยทำให้เราเห็นชุดเสื้อผ้าสวยๆ ที่หลากหลายในแต่ละฉาก แถมมันยังทำให้เรื่องนี้กลายเป็นหนังที่มีค่าเครื่องแต่งกายที่แพงที่สุดในโลกภาพยนตร์เลย
- ในวันแรกของการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ป้าเมอริล บอกกับ น้องแอน ว่า “ฉันคิดว่าเธอมาสมกับบทนี้อย่างที่ ฉันดีใจมากๆ ที่เรากำลังจะได้ร่วมงานกัน” จากนั้นเธอก็หยุดพูด จากนั้นบอกต่อว่า “นั่นคือสิ่งดีๆ สุดท้ายที่ฉันจะพูดกับเธอ” และมันก็เป็นอย่างนั้นไปตลอดการถ่ายทำ เพื่อการเข้าถึงบทบาทของมิแรนด้าของเธอ
- Anne Hathaway และ Emily Blunt ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งใน Lip Sync Battle ตอน “Devil Wears Prada reuinion battle” โดยทั้งคู่เพื่อนที่ดีต่อกันในโลกความจริง ต่างกับบทของทั้งคู่ในเรื่องมากๆ