The Departed (2006)
ภารกิจโหดแฝงตัวโค่นเจ้าพ่อ
คะแนน
โกดังหนัง
งานรีเมคชั้นเยี่ยมที่ทำได้ดีไม่ต่างจากต้นฉบับ แค่เป็นคนละสไตล์
แต่หัวใจสำคัญนี่เก็บมาครบถ้วนรวมถึงความตึงเครียดต่างๆ
คำคมจากภาพยนตร์
“ํI don't want to be a product of my environment. I want my environment to be a product of me.” “ผมไม่ได้อยากจะเป็นผลผลิตของสภาพแวดล้อม ผมอยากให้สภาพแวดล้อมมันเปลี่ยนไปเพราะตัวผม“
เรื่องย่อ
บิลลี่ คอสติแกน นายตำรวจหนุ่มนอกเครื่องแบบ ที่ได้รับภารกิจให้ไปแฝงตัวอยู่ในแก๊งเจ้าพ่อคอสติลโลเพื่อเป็นสายคอยนำข้อมูลข่าวสารกลับมาให้ แต่ในขณะเดียวกันทางฝั่งแก๊งอาชญากรเองก็ส่ง โคลิน ซุลลิแวน หนึ่งในสมาชิกแฝงตัวเข้ามาเป็นสายอยู่ในกรมตำรวจอยู่เหมือนกัน ทำให้ทั้งสองต้องใช้ชีวิตในแบบ 2 มุม แต่ต่างฝ่ายต่างก็ถลำลึกเข้าไปในสภาพแวดล้อมที่ตัวเองอยู่ และต่างเชือดเฉือนกันด้วยไหวพริบเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับตัวเองได้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Departed นั้น เป็นหนังรีเมคมาจาก Infernal Affair หรือตำนาน 2 คน 2 คม ผ่านมือผู้กำกับอย่าง Martin Scorsese จนออกมาเป็นหนังสไตล์ตำรวจปะทะเจ้าพ่อดีๆ อีกเรื่องที่เน้นหนักไปยังการเป็นสายที่แฝงตัวเข้าไปยังอีกฝั่ง ที่ทำออกมาได้เข้มข้นระทึกเชือดเฉือดกันเหลือเกิน จนเอาเป็นว่าถ้าใครชอบต้นฉบับอย่าง Infernal Affair ก็อยากให้เปิดใจดูเวอร์ชั่นนี้กัน ว่าสุดท้ายแล้วจะออกมาชอบสไตล์ไหนมากกว่ากัน
- สายหนังอาชญกรรมหักเหลี่ยม
- สายหนังเจ้าพ่อเชือดเฉือน
- สายหนังตำรวจสุดระทึก
รีวิว / สรุปเนื้อหา
โดยปกติแล้วพวกหนังที่เป็นงานรีเมคนั้นมักถูกเอาไปเปรียบเทียบกับงานต้นฉบับอยู่เสมอ และบ่อยครั้งก็ต้องเป็นงานใหม่ที่พ่ายแพ้ให้กับงานเก่าไป แต่ไม่ใช่กับหนังอย่าง The Departed ที่รีเมคมาจากหนังฮ่องกงขึ้นหิ้ง Infernal Affair อย่างแน่นอน เพราะเมื่อหนังได้มาอยู่ในมือผู้กำกับมือเก๋าอย่างปู่ Martin Scorsese แล้ว ก็พาเอาหนังไปถึงจุดสูงสุดของวงการภาพยนตร์อเมริกันในปีนั้น ด้วยการคว้ารางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยมมาครองอย่างสวยงาม แถมยังคงหัวใจสำคัญของเรื่องราวไว้ได้อย่างครบถ้วน
ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการดำเนินเรื่องที่เข้มมากๆ จากการเอาบทดั้งเดิมมาปรับให้เข้ากับความเป็นอเมริกันมากขึ้น จนทำให้แม้ว่าตัวหนังจะเป็นการรีเมคมา แต่ฟิลลิ่งในการรับชมกลับเปลี่ยนไปได้เหมือนดูหนังคนละเรื่อง ทั้งๆ ที่หลายๆ ฉากแทบจะเหมือนกันด้วยซ้ำ (แต่จริงๆ ก็เป็นคนละเรื่องนั่นแหละ) ซึ่งหนังยังคงขับเคลื่อนไปด้วยตัวของบทสนทนาเชือดเฉือนกันได้เป็นอย่างดี ที่พอเข้าปากของทีมนักแสดงชั้น ที่เข้าฉากด้วยกันทีไรก็ต้องส่งพลังการแสดงให้กันได้อย่างมาก โดยเฉพาะดารานำทั้งคู่อย่าง Leonardo DiCaprio และ Matt Damon ที่ต่างแสดงถึงพัฒนาการของตัวละครที่เริ่มถลำลงไปในสภาพแวดล้อมของอีกฝ่ายได้รู้สึกเครียดแทนมากๆ
จนทำให้แม้ว่าหนังจะใช้เวลายาวแบบจัดเต็มถึง 2 ชั่วโมงครั้ง แต่ก็กลับไม่มีฉากไหนที่ทำให้เรารู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย ด้วยการที่หนังดูเหมือนเล่นเครื่องตลอดเวลา ด้วยการตัดต่อที่บีบคั้น แถมยังมีการสับขาหลอกไปมาของตัวละครว่าสุดท้ายแล้วใครเป็นคนดีหรือคนเลวกันแน่ เพราะด้วยการเปลี่ยนแปลงและการตัดสินใจของตัวละครที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จนทำให้คนดูเองก็คาดเดากับหนังไม่ได้เลยว่าในปลายทางของมันนั้นจะลงเอยในแบบเดียวกับต้นฉบับหรือไม่ จนทำให้มันกลายเป็นหนังรีเมคอีกเรื่องที่รอดพ้นจากข้อครหาทุกประการ แถมหลายๆ คนยังต่างชื่อชมว่ามันดีกว่าต้นฉบับเสียอีก
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ในตอนแรกนั้นผู้กำกับ Martin Scorsese อยากได้ตัว Al Pacino มารับบทของ Costello มากๆ เพราะเขาไม่เคยร่วมงานกับ Al Pacino มาก่อน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธมา จนมาได้ Jack Nicholson ตามที่ตั้งใจเอาไว้ในลำดับที่ 2 ซึ่งสุดท้ายแล้ว เขาก็ได้ร่วมงานกับ Al Pacino สมใจใน The Irishman
- ตอนที่หนังเรื่องนี้ได้ออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมนั้น ผู้กำกับ Martin Scorsese ได้กล่าวเอาไว้ว่า เขาประหลาดใจมากที่มันชนะ เพราะเขาคิดว่าตัวหนังนั้น เต็มไปด้วย ความน่ารังเกียจ และความรุนแรง ตลอดเรื่อง จนตลอดเวลาที่เข้าถ่ายทำมันนั้น เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาถึงจุดนี้จริงๆ
- ผู้กำกับ Martin Scoresese ไม่รู้มาก่อนเลยว่าบทของหนังเรื่องนี้นั้นเป็นการ Remake มาจากหนังฮ่องกง จนกระทั่งตอนที่เขาได้เริ่มทำมัน