Silver Lining Playbook (2012)
ลุกขึ้นใหม่ หัวใจมีเธอ
คะแนน
โกดังหนัง
การเติมเต็มกันระหว่างตัวละครที่ไม่สมบูรณ์จากความไม่เหมือนใคร
สู่หนังชีวิตสะท้อนจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ที่สวยงาม
คำคมจากภาพยนตร์
“You have to do everything you can, you have to work your hardest and if you stay positive you have a shot at a silver lining.” “คุณต้องทำทุกอย่างที่คุณทำได้ คุณต้องทำงานที่ยากที่สุด และถ้าคุณยังคงมองโลกในแง่บวกนั้น คุณก็จะมีโอกาสได้สิ่งดีๆ กลับมาเอง”
เรื่องย่อ
แพท โซลาทาโน อดีตอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ ผู้สูญสิ้นทุกอย่าง ทั้งบ้าน งาน และครอบครัว จากการกระทำบางอย่างของเขา ซึ่งหลังจากที่เขาออกมาจากสถาบันสุขภาพจิตนั้น ก็ยังคงไม่กลับมาเป็นปกติ เลยต้องเริ่มวิ่งเพื่อเป็นการบำบัดตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้พบกับเพื่อนเก่า รวมถึง ทิฟฟานี่ น้องสาวของภรรยาเพื่อน ที่ผ่านเหตุการณ์ชีวิตมาหนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน จากการที่สูญเสียสามีไปจากอุบัติเหตุ เมื่อทั้งคู่ได้รู้จักกันก็เสมือนได้เติมเต็มในส่วนที่ขาดได้อย่างวายป่วง
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Silver Lining Playbook เป็นอีกหนังที่ว่าเป็นหนังรักก็ไม่ใช่ เป็นหนังดราม่าก็ไม่เชิง แต่มันกลายเป็นหนังที่เล่าถึงความสัมพันธ์ของตัวละครที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากอดีต ที่ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจจนอบอุ่นหัวใจมากๆ เหมาะกับใครที่กำลังมองหาหนังฟีลกู้ดในแบบที่กำลังพอดี ไม่โลกสวยจนเกินไป และได้แง่คิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตดีๆ แถมกลับมาอีกเพียบ สำหรับใครที่ชอบหนังรักโทนประมาณนี้ อย่าง The Perks Of Being A Wallflower, 500 Days of Summer หรือ It’s a Kind of a Funny Story แล้ว รับรองได้ว่า เรื่องนี้จะพาคุณหัวใจพอโตกันได้แน่นอน
- สายหนังโรแมนติกคอมเมดี้
- สายหนังรักเข้าใจชีวิต
- สายหนังดราม่าฟีลกู้ด
รีวิว / สรุปเนื้อหา
จากผู้กำกับหนังสายฉอด (เพราะตัวละครในหนังของเขามีบทสนทนามากมานยเหลือเกิน) อย่าง David O. Russell ที่ใช้บริการดาราคู่บุญหน้าเดิมๆ มาใช้ในหนังอยู่เสมอ ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีทั้ง Bradley Cooper, Jennifer Lawrence และ Robert De Niro กับการทำหนังที่เหมือนจะเป็นหนังรัก แต่เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นหนังดราม่าที่ดูพาไปสำรวจจิตใจมนุษย์ที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากความสัมพันธ์มากกว่า เพราะที่ผ่านมาเรามักได้ดูแต่หนังรักจากผู้คนที่มีความสมบูรณ์ของคนหน้าตาหล่อสวย และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต พร้อมที่จะรักกันได้ และในเรื่องนี้กลับเป็นมุมที่กลับด้าน เพราะเป็นความสัมพันธ์ของตัวละครที่เคยแตกสลายไปกับความรักมาทั้งคู่ จนสภาพจิตใจไม่เป็นเหมือนเดิม
ในด้านทีมดารานั้น Bradley Cooper ก็ทำหน้าที่ได้ดีมากๆ สำหรับชายที่มีปม จนพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง และพยายามจะเป็นคนปกติตลอดเวลา ซึ่งเมื่อเวลาที่เขาได้ขึ้นจอพร้อมๆ Jennifer Lawrence ที่มีพลังการแสดงในบทสาวสติแตก จากใจที่แตกสลาย ก็กลายเป็นเคมีที่เข้ากันได้อย่างน่าประหลาดใจ และช่วยให้คนดูสามารถส่งใจเชียร์พวกเขา ให้ได้เติมเต็มกันและกัน ให้เป็นความรักครั้งใหม่ที่สมบูรณ์โดยเร็ว (ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าอนาคตของทั่งคู่จะไปกันรอดได้หรือไม่ 555) ในส่วนของพ่อตัวเอกที่รับบทโดย Rebert De Nero นั้น ก็ทำออกมาได้น่ารัก มีการขโมยซีนอยู่บ่อยครั้งที่ได้ผลดี อีกทั้งยังเป็นตัวละครที่มอบแง่คิดให้กับคนดูได้ดีมากๆ
ความน่าสนใจของหนังคือ ในขณะที่เราค่อยๆ ดูความสัมพันธ์ของคนไม่ปกติที่ก่อตัวขึ้น แต่ผู้กำกับก็สามารถถ่ายทอดมาให้เราเข้าใจสภาพจิตใจของพวกเขาได้เป็นอย่างดี ส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะบางทีมนุษย์เราทุกคนก็มีส่วนที่ผิดปกติ หรือบาดแผลบางอย่างจะเรื่องต่างๆ จนเข้าใจได้ว่าบางที่คนเรามันไม่ต้องสมบูรณ์นักก็ได้ เพราะในบางครั้งเราอาจจะได้เจอคนที่มาเติมเต็มให้กับเราในส่วนนั้น และดูแลกันต่อไปได้ เหมือนอย่างตัวละครในหนัง ที่เล่าออกมาได้อย่างน่ารัก อบอุ่นหัวใจ และฮาได้ลั่น แถมยังแนบข้อคิดแบบคมเกี่ยวกับชีวิตและความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังใช้เวลากว่า 5 ปี และการแก้บทถึง 25 ครั้ง กว่าจะมาถึงมือผู้กำกับ เพราะมันเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะผสมผสาน อารมณ์มนุษย์, ปัญหาของเรื่องราว, อารมณ์ขัน และพาร์ทความรักทั้งแบบหนุ่มสาว และครอบครัวเข้าไปไว้ด้วยกัน ให้กลมกล่อมแบบที่เห็นตอนนี้
- Bradley Cooper ได้รับเลือกมาเล่นบทนี้ จากการที่ผู้กำกับเห็นเขามักรู้สึกโกรธ และเก็บกดบ่อยครั้ง ไม่ต่างอะไรจากตัวละคร Pat ในเรื่อง แต่ในส่วนของ Jennifer Lawrence ทำการแคสผ่าน Skype แบบชิลๆ สวยๆ มาเลย