Mission: Impossible Rogue Nation (2015)
ปฏิบัติการรัฐอำพราง
คะแนน
โกดังหนัง
ยกระดับความมันส์ไปอีกระดับ ไม่เน้นขายแอ็คชั่นเล่นใหญ่ตูมตาม บทหนังเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนแถมการแสดงของ Tom Cruise ที่เสี่ยงตายเหมือนเดิม
คำคมจากภาพยนตร์
"We only think we are fighting for the right side because that's what we choose to believe."
"เราคิดแต่เพียงว่าเรากำลังต่อสู้เพื่อฝ่ายที่ถูกต้อง เพราะนั่นคือสิ่งที่เราเลือกที่จะเชื่อ"
เรื่องย่อ
หลังมีการปิดหน่วยงาน IMF ลง แต่ Ethan Hunt ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปด้วยการตามล่าองค์กรผู้ร้าย เดอะ ซินดิเคต แต่ก็ถูกจับตัวไปได้ แต่แล้วเขากลับได้รับความช่วยเหลือจากผู้หญิงปริศนา ทำให้เขารอดตายและเรียกทีมงานเก่าๆ อย่าง Benji ให้มาช่วยตามไล่ล่าองค์กรนักฆ่านี้ให้ได้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Mission Impossible 5 กลายเป็นหนังแอ็คชั่นสายลัยที่ยกระดับการสร้างการเล่าเรื่องที่ให้มีความสดใหม่ แต่ในเวลาเดียวกันก็มีกลิ่นอายจากหนังภาคแรก เสน่ห์ของหนังคือไม่ต้องดูภาคอื่นๆ สามารถเข้าใจเนื้อหาหนังได้ทันที ใครชอบหนังสไตล์สปายสายลับจะต้องชอบ ด้วยความครบเครื่องในสิ่งที่หนังสายลับควรมีอยู่เกือบครบทุกองค์ประกอบ โดยที่ไม่ต้องเน้นแค่ฉากยิงกันเพียงอย่างเดียว จนทำให้หนังมีฉากแอ็คชั่นหลายฉากที่น่าจดจำและชวนลุ้นอยู่ไม่น้อย จนไม่แปลกใจที่หนังจะประสบความสำเร็จและมีภาคต่อมาอีกมากมาย ด้วยเสน่ห์อันเหลือล้นของแต่ละภาคที่มีสไตล์ตามผู้กำกับที่ต่างกันออกไป ดังนั้น หากใครชอบหนังสไตล์สายลับแบบพวก James Bond หรือ ตระกูล The Bourne แล้ว นี่ก็เป็นหนึ่งในสายลับอีกคนในโลกภาพยนตร์ที่น่าจดจำ
- สายหนังแอคชั่นสายลับ
- สายหนังซับซ้อนซ่อนเงื่อน
- สายหนังสปายสืบสวน
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ใครจะไปคิดละว่า Mi5 ภาคนี้จะกลายเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตสำหรับหนังสายลับของพระเอกผู้ชอบเสี่ยงตายอย่าง Tom Cruise สเกลหนังไต่ระดับความโหดความมันส์ความสมจริงเข้าไปทุกระดับ จากเดิมที่หวังว่าจะเลิกสร้างในภาค 4 แต่แผนทุกอย่างเปลี่ยน และใน Rogue Nation เป็นก็ Mission ที่โตขึ้นกว่าทุกภาค แต่ในทางกลับกัน ความล้ำสมัยทางเทคโนโลยีก็ลดลง และบทหนังเองก็มีลูกล่อลูกชนหลอกล่อคนดูอยู่ตลอดเวลา จุดเด่นของหนังคือไม่ได้โฟกัสไปยังตัวละคร Ethan Hunt แต่มันทำให้คนดูลุ้นไปตลอดเวลา คนร้ายตัวจริงเป็นใคร สถานการณ์กดดันทำให้การทำภารกิจเป็นเสมือนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ตลอดเวลา หนังเลยไม่ได้ขายความเล่นใหญ่กับฉากเสี่ยงตาย แต่หนังกลายเป็นงานสายลับที่จริงจังเล่นใหญ่ ความบันเทิงที่ทำให้ทีมผู้สร้างหนังสายลับเรื่องอื่นๆต้องชายตามอง
มีอย่างที่ไหนสร้างหนังสายลับที่พล็อตเรื่องตัวละครวายร้ายแฝงตัวฉลาดเหนือชั้น แถมยังมีองค์กรสายลับหน้าใหม่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เราได้คิดตาม คนร้ายกับคนดีเผลอๆอาจเป็นได้ทั้ง 2 อย่าง แถมในหนังก็ยังมีองค์กรร้ายเป็น ซินดีเคท องค์กรที่เต็มไปด้วยนักฆ่าฝีมือดีที่หายสาบสูญ หรือการซ้อนแผนไขปริศนา ตอนที่ดูเรื่องนี้จำได้ค่อนข้างชอบมากๆ การตระเวณถ่ายในหลายๆโลเคชั่น ทั้งโมร็อคโค ซิ่งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ที่แบบมันส์สะใจ หรือจะเป็นลอนดอน ที่เล่นกับสถานการณ์กดดันทั้งเรื่องระเบิด หรือเรื่องการเมือง หนังมีลูกล่อลูกชนเยอะ เป็นงานสายลับที่มีความสดใหม่ ไม่มีความซ้ำซากจำเจจากหนังแนวนี้เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เน้นใส่ฉากแอ็คชั่นเยอะๆระเบิดตูมตามเน้นสู้โชว์คิวบู๊พระเอก แต่บทหนังของ Christopher McQuarrie มีชั้นเชิงที่ไม่เหมือนใคร เดินเรื่องมีดีเทลที่ซับซ้อนชวนให้คิดตามจนปวดหัวไม่แปลกใจที่ Tom Cruise ไว้ใจและเลือกให้ทำงานร่วมกันต่อไปยาวนานถึง 4 ภาค
การแสดงของ Tom Cruise คือจุดเด่น ที่ยังคงคอนเซ็ปต์เล่นจริงเจ็บจริงไม่ใช่สตั๊นแมน ตั้งแต่ฉากเครื่องบิน ดำน้ำ 6 นาที หรือการซิ่งมอเตอร์ไซค์ความเร็วสูงไม่ใส่หมวกกันน็อค ทำให้เราได้เห็นฉากเด่นๆเพียบ แแถมตัวหนังเองก็ไม่ได้วางบทให้พี่ Tom เด่นคนเดียว แต่ ทีมงานเองก็ให้น้ำหนักทุกคนเน้นประคับประคองทำงานเป็นทีม Rebecca Ferguson สาวสวีเดนที่มีเสน่ห์เซ็กซี่น่าค้นหา คือช่วงแรกไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหนต้องการอะไร ทำไมถึงช่วย Ethan แบบนั้น ตลอดทั้งเรื่องก็ทำให้นางมีมุมมองที่ชวนสับสนจะดีหรือร้ายกันแน่ บทหนังทำมาค่อนข้างดี ดึงทักษะการแสดงของเธออกมาจนกลายเป็นใบเบิกทางต่อยอดเป็นตัวละครหลักในแฟรนไชส์ Simon Pegg เพื่อนคู่คิดที่มาสร้างสีสันให้หนังเรื่องนี้ได้เยอะ Jeremy Renner สายลับที่มาช่วยงาน Ethan แบบลับๆ เหมือนเป็นคนรักทฤษฎียึดถือความถูกต้อง แต่พร้อมร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน น่าเสียดายที่เขาเล่นภาคนี้เป็นภาคสุดท้าย ส่วนวายร้ายในเรื่องอย่าง Sean Harris กลายเป็นนักฆ่าที่เลือดเย็นฉลาด อาจไม่ได้ออกเยอะ แต่บทหนังทำให้เขาอันตรายปั่นป่วนทีมงาน Ethan ได้สนุก
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ฉากเปิดร้องที่ Tom Cruise เกาะเครื่องบิน แอร์บัส A400M โดยไม่มีอุปกรณ์ช่วยอะไรทั้งสิ้น
- Tom Cruise บาดเจ็บ 6 ครั้งในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้
- ฉากใต้น้ำ Tom Cruise สามารถกลั้นหายใจใต้น้ำได้นานถึง 6 นาที ก่อนจะโดน Kate Winslet ทำสถิติแซงในเวลาต่อมา 7 นาที