Knock at the Cabin (2023)
เสียงเคาะที่กระท่อม
คะแนน
โกดังหนัง
กลายเป็นหนังที่ชอบแบบไม่ทันตั้งตัว ไม่ตัองลุ้นไม่ต้องคาดเดาอะไรทั้งสิ้น สาดความมันส์ลุ้นระทึกที่เดือดมากๆ กดดันบีบคั้นสั่นประสาทของจริง
คำคมจากภาพยนตร์
"I don’t talk to strangers."
"ผมไม่คุยกับคนแปลกหน้า"
เรื่องย่อ
เหวิน หลิง เด็กสาวคนหนึ่ง ที่กำลังไล่จับตั๊กแตนใส่ขวดโหล เพราะมาพักผ่อนกับพ่อเลี้ยงบุญธรรมอยู่ในกระท่อมห่างไกลในป่า อยู่ดีๆก็มีคนแปลกหน้า 4 คน พกอาวุธติดตัวมาด้วยบุกเข้ามายังกระท่อมเพื่้อบังคับให้พ่อของเธอเลี้ยง แอนดรู และ เอริค เลือกว่าจะสละชีวิตของใครเพื่อหยุดยั้งวันสิ้นโลก เอายังไงดีละอยู่ดีๆมีใครก็ไม่รู้มาบอกคู่รัก LGBTQ แบบนี้พวกเขาจะทำยังไงหนีรอด ต่อสู้ หรือจะยอมเสียสละชีวิตตามคำร้องขอของกลุ่มคนแปลกหน้า
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Knock at the Cabin เป็นหนังที่เหมาะกับแฟนหนังระทึกขวัญที่ชอบความตื่นเต้นพล็อตเรื่องคาดเดาอะไรไม่ได้สับขาหลอกปั่นประสาทผู้ชม และผู้กำกับ M. Night Shyamalan ก็มอบความสนุกให้ผู้ชมผ่านการ วิพากษ์วิจารณ์สังคม กลุ่มคน LGBTQ หรือหลักคำสอนทางศาสนาคริสต์ หรือการโยงใยเบื้อหาวันสิ้นโลก ความเห็นใจ การให้อภัย คำชี้แนะ มาแบบครบเครื่องผ่านเทคนิคการนำเสนอในรูปแบบจิตวิทยาระทึกขวัญ เปิดพื้นที่ให้คนดูได้ต้องคิดตามเพราะทุกอย่างมันสลับซับซ้อน ยิ่งถ้าชอบหนังแบบมีจุดพลิกผันให้ระทึกของ M. Night ยังไงเรื่องนี้ไม่ควรพลาด
- สายหนังจิตวิทยา
- สายหนังระทึกขวัญ
- สายหนัง M. Night Shyamalan
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ดูหนังเรื่องนี้จบไม่แปลกใจเลยว่า M. Night Shyamalan ทำไมถึงกลายเป็นนักสร้างหนังที่มีผู้กำกับมากมายยกย่องให้เป็นไอดอล เพราะเขาคือนักสร้างหนังที่หยิบจับหลายๆสิ่งหลายอย่างขยี้ออกมาได้น่าสนใจ ใครจะไปคิดว่า คู่รักเกย์ LGBTQ อยู่ดีๆมาพักผ่อน ดันมีแขกไม่ได้รับเชิญมาบอกให้พวกเขาสละชีวิต เพื่อหยุดยั้งวันสิ้นโลก คนไปเที่ยวพักผ่อนมีความสุขดันมาเจออะไรแบบนี้งงกันพอดี การที่คู่รักโดนจับพวกเขาก็เตรียมไปด้วยความหวาดกลัว วิตกกังวลไปหมด พอมุมดีโครงสร้างของหนังแล้วรู้สึกว่า เขาก็ฉลาดที่ใช้ตัวละครเกย์นำเรื่อง เพราะกลุ่มคน LGBTQ ยังไม่ได้ยอมรับในวงกว้างสักเท่าไหร่ พอดูไปเรื่อยๆมันเปิดพื้นที่ให้เห็นว่า แอนดรู และ เอริค ก็มีชีวิตที่ยากลำบากกับการคบหาดูใจกันแบบคนรัก แค่ไปอุปการะเด็กพวกเขายังต้องอ้างว่าเป็นพี่น้องกันเลย ไม่กล้าเปิดเผนสถานะทางสังคมให้รับรู้ หนังบอกให้เราเข้าใจถึงความไม่เปิดกว้างในสังคม และพาคนดูไปกระเทาะเปลือกคู่รักคู่นี้ทีละนิด พวกเขาพบเจออุปสรรค เหมือนกลายเป็นสิ่งแปลกปลอม จะรักกันยังต้องระมัดระวังคนอื่น จากนั้นหนังก็ค่อยพูดถึงเนื้อหาลงไปทีละนิด หนังใส่ความเป็นทริลเลอร์ลงไปมันเลยทำให้พาร์ทปัจจุบันกดดดันบีบคั้นบีบอารมณ์คนดู ทำให้คาดเดาอะไรไม่ได้เลยว่า M. Night จะมาไม้ไหนวางลูกเล่นยังไง หนังสนุกตรงที่ไม่ต้องลุ้นอะไรค่อยเก็บรายละเอียดระหว่างทางไปพร้อมๆกัน
หนังเองได้อิทธิพลมากจากหนังสือThe Cabin at the End of the World แต่งโดย Paul G. Tremblay เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ ความรัก และการเสียสละ ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างคาดไม่ถึง มีกลิ่นอายของแนวแฟนตาซีและอิงศาสนาคริสต์ไปพร้อมๆกัน ภาพของหนังมันสลับซับซ้อนต้องตั้งใจดูดีๆ เพราะถ้าไม่ตั้งใจดูอาจงงกับเนื้อหาเนื้อหาไปได้ เพราะ M Night ทำบทมาค่อนข้างดี เรื่องนี้ต้องคิดวิเคราะห์ตามเยอะมากๆ จุดที่หนังทำออกมาได้ดีคือจังหวะการเล่าเรื่องที่ทำให้บรรยากาศมันกดดันตึงเครียดได้ตลอดเวลา เปิดเรื่องดูละมุนละไม แต่ไดนามิคหนังมันจะค่อนข้างดาร์คขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญคือการสร้างหนังที่หยิบกรอบแนวคิดทางศาสนาเมื่อมาเล่าตีความในสไตล์ทริลเลอร์มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าทำไม่ได้อาจพังได้ แต่ M Night เคลียร์ประเด็นต่างๆระหว่างทางชัดเจน สิ่งที่ชอบคือวิธีการนำเสนอของหนังใช้โลเคชั่นไม่เยอะแต่มุมภาพมุมกล้องเทคนิคการเล่าเรื่องจัดโทนดีมาก ทำให้เฟรมภาพน่าดูน่าค้นหา นี่คือจุดเด่นของหนังทุกเรื่องที่ผู้กำกับใส่ใจทุกรายละเอียด ซีนเด็กก็ดูน่ารัก ซีนคนแปลกหน้าก็ทำออกมาได้หวาดกลัว รวมไปถึงการใส่เพลงสกอร์มาได้ถูกจังหวะมันลงล็อคไปหมด
ด้านการแสดงกลายเป็นจุดสำคัญของหนังเรื่องนี้ หนูน้อย Kristen Cui กลายเป็นเด็กสาวที่มาขโมยซีน พลังของน้องสื่ออารมณ์ทุกด้านออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ บทของเธอทำให้ตัวละครนี้ฉลาด มีไหวพริบ ส่วน Dave Bautista ที่เวลานี้กลายเป็นนักแสดงบิ๊กเนมในวงการ จากนักแสดงบ้าบอๆเวลานี้เขากลายเป็นดาราเจ้าบทบาท ที่ไม่ได้ดีแค่เล่นฉากแอ็คชั่นไปซะแล้ว เวลานี้เขากลายเป็นนักแสดงที่เล่นดราม่าได้ดีเหลือเชื่อในเรื่องนี้เราจะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของคนจิตวิทยาสูงที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน เรียกได้ว่า Knock at the Cabin ได้มัดรวมนักแสดงมากความสามารถไว้ด้วยกัน ยังมี Rupert Grint จ ที่ห่างหายจากวงการไปสักพักใหญ่ และขาดไม่ได้คือ 2 นักแสดงที่มารับบทคู่รัก LGBTQ Jonathan Groff และ Ben Aldridge ที่มาช่วยสอดรับอารมณ์รับส่งบทได้ดีมากๆ ผ่านการแสดงออกทางสีหน้าแววตาภายใต้บรรยากาศที่กดดันแบบนี้
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Dave Bautista ตอบรับงานแสดงโดยไม่อ่านบท
- M. Night Shyamalan เล่นเป็น Cameo ในเรื่องเป็นพนักงานขายสินค้นในรายการ TV
- นี่คือผลงาน R-rating เรื่องที่ 2 ของ M. Night Shyamalan นับตั้งแต่ The Happening