Green Book (2018)
กรีนบุ๊ค
คะแนน
โกดังหนัง
หนังที่นำความต่างของสีผิวมาเล่าเรื่องให้มีอารมณ์ขันเข้าใจง่าย
และซุกซ่อนอารมณ์หัวอกความเป็นมนุษย์เอาไว้ได้อย่างคมคาย
คำคมจากภาพยนตร์
"You Never Win With Violence. You Only Win When You Maintain Your Dignity." "คุณไม่มีทางชนะด้วยความรุนแรง คุณจะชนะก็ต่อเมื่อ คุณรักษาศักดิ์ศรีของตัวเอง"
เรื่องย่อ
สองคู่หูต่างขั้วที่จับผลัดจับผลูตระเวนเดินทางไปทั่วตอนใต้ของอเมริกา โทนี่ ลิป อดีตบอดี้การ์ดเฝ้าผับขาใหญ่ เชื้อสายอิตาเลียน-อเมริกันจากย่านบรองซ์ในนิวยอร์ก ต้องมาเป็นคนขับรถให้ ดอน เชอร์ลีย์ นักเปียโนคลาสสิกผิวสีระดับโลกเพื่อไปบรรเลงเพลงจากเวทีต่างๆ ซึ่งต้องใช้เวลานานเกือบ 2 เดือน ระหว่างที่เขาออกเดินสายขึ้นแสดงในยุค 60 สิ่งเดียวที่นำทางทั้งคู่คือ สมุดปกเขียว ที่บอกสถานที่ที่เป็นมิตรกับคนผิวสี พวกเขาต้องฝ่าทั้งกำแพงแห่งสีผิว ภัยอันตรายต่าง ๆ เช่นเดียวกับน้ำใจจากเพื่อนมนุษย์ในการเดินทางครั้งสำคัญนี้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Green Book คือหนังที่เล่าเรื่องได้งดงามทลายกำแพงความต่างของสีผิวลงอย่างราบคาบ หนังให้ความสนุกมอบแง่คิดให้เรารู้ว่าแม้ว่าคนเราจะต่างกันมากแค่ไหน แต่คุณค่าความเป็นคนมันวัดกันไม่ได้ หนังสอดแทรกมิตรภาพแง่คิดของตัวละครที่ทัศนคติต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่กลายเป็นเพื่อนแท้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้ คนที่ชอบดูหนังธีมย้อนยุค เนื้อหาที่เป็นความจริงมีมุกตลก ไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้เด็ดขาด
- สายหนังที่ชอบดูหนังรางวัล
- สายหนังดราม่าคอเมดี้
- สายหนังที่ชอบเรื่องราวย้อนยุค
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ภาพของหนังคือการใช้ชีวิตคน 2คน ที่ต่างกันสุดขั้วทางความคิด คนผิวขาว ที่เป็นคนปากจัดอารมณ์ร้ายทำงานรับจ้างหาชาวกินค่ำไปวันๆ แถมยังเขียนหนังสือไม่เป็น ส่วนตัวละครอีกคนคือ คนผิวสีแต่นักดนตรีมากความสามารถ มีเงินมีทอง มีการศึกษาชั่นสูง ทั้ง 2 คนต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันบนรถยนต์ขับทั่วอเมริกาทางตอนใต้ในยุค 60 สังคมอเมริกัน คนผิวดำยังคงถูกจำกัดในวงแคบ ไม่ได้รับการยอมรับจากคนผิวขาว พวกเขายังคงมองว่ากลุ่มคนพวกนี้คือชนชั้นล่างอยู่ ไม่มีสิทธิ์มีเสียง หลายๆฉากเราพบว่า คนผิวสี มักโดนรังแกจากกลุ่มคนผิวขาว และต้องพบปะผู้คนแค่สีผิวเท่านั้น ยิ่งดูไปเรื่อยๆเราจับต้องได้ว่า ความจริงแล้วสีผิวไม่ได้ตีความว่าผิวขาวดีกว่าผิวสีเสมอไป เพราะรูปลักษณ์ภายนอกมันไม่ได้บอกว่า คุณค่าความเป็นคนไม่ได้ขึ้นอยู่ที่สีผิวเลยสักนิด
เนื้อหาทำให้เรารู้สึกว่า คนผิวสีมีจิตใจมีคุณค่ามีคุณงามความดี หาใช้แค่ภาพลักษณ์ ช่วงแรกเราจึงเห็นโทนี่ ก็ไม่ยอมรับคนผิวสี แต่การจากการสัมผัสนายจ้างตัวเองตลอดการเดินทาง ได้เข้าใจความคิดความอ่านของ ดร.ดอน มากขึ้น เพราะต่อให้มีฐานะมากแค่ไหน ทุกสถานที่ที่เขาไปบรรเลงเปียโน่ในสังคมชั้นสูงตามที่ต่างๆเขาก็ยังโดนมองว่าเป็นนิโกรอยู่ดี ซึ่งมันเป็นการดูถูกที่เห็นแล้วรู้สึกแย่มาก ยิ่งในซีนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้กินข้าวร่วมโต๊ะผิวขาวนี่แหละ แม่งใช่เลย สังคมที่เหยียดยามเลือกปฏิบัติเป็นอะไรที่แย่มาก เมื่อตัวละครได้เรียนรู้ทัศนคติอีกฝ่ายมากขึ้น มันก็เหมือนเป็นการละลายพฤติกรรมหมดเปลือก โทนี่ พร้อมจะปกป้องนายจ้างของตัวเองไม่ยอมให้ใครมารังแก หนังค่อยๆทะลายกำแพงระหว่างคนขาวและคนผิวสีลงไป มันกลายเป็นโมเมนต์ที่น่าประทับใจ
พาร์ทนักแสดง วิกโก้ มอร์เทนเซน ที่หลายคนอาจรู้จักจากบทอารากอร์นใน Lord of the Rings: Return of the King ไม่ต้องตกใจหากคุณจำเขาไม่ได้ ในเรื่องนี้เขาเป็นชายแก่พุงพลุ้ยที่ซกมกและใช้ภาษาไม่เก่งเอาเสียเลย เมื่อดูเผินๆ แล้วอาจคล้ายว่ามอร์เทนเซนกำลังสร้างตัวละครที่คนจะเกลียด แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็แต่งแต้มมุมที่น่าเห็นใจ น่าเอาใจช่วย ด้าน มาเฮอร์ชาลา อาลี แสดงหนังได้อย่างสุขุมเยือกเย็นมีสเน่ห์อย่างที่สุด จนทำให้ไม่มีใครเหมาะกับบทบาทดอนมากกว่าเขาอีกแล้ว เพราะเป็นตัวละครที่มีความพิเศษ ทำให้เขาโดดเด่นจากทั้งคนผิวขาวที่อยู่รอบตัว และคนผิวดำที่ร่วมชาติพันธุ์กัน
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังคว้าออสการ์ 3 สาขาในปี 2019 ดัดแปลงบทยอดเยี่ยม, บทหนังยอดเยี่ยม และสมทบชายยอดเยี่ยม
- Viggo Mortensen ต้องเพิ่มน้ำหนักตัวเองถึง 18-23 กิโลกรัม
- หนังกวาดรายได้ไปทั้งสิ้น $321.8 ล้านเหรียญสหรัฐ