Godzilla (2014)
ก็อตซิลล่า
คะแนน
โกดังหนัง
ปฐมบทแห่งจักรวาลมอนเตอร์ ด้วยเจ้าก็อตซิลล่าตัวป้อม
หนังที่เน้นเรื่องราวความสัมพันธ์ของมนุษย์มากกว่าสัตว์ประหลาดซัดกัน
คำคมจากภาพยนตร์
“Let them fight.” “ปล่อยให้พวกมันสู้กัน”
เรื่องย่อ
ดร. โจ โบรดี้ และแซนดร้า นักวิทยาศาสตร์ด้านฟิสิกส์นิวเคลียร์ ที่ทำงานด้วยกันอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ที่วันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุแผ่นดินไหว จนสารกัมมันตภาพรังสีในโรงงานนิวเคลียร์ ทำให้ โจ ต้องสูญเสียภรรยาไปจากเหตุการณ์นี้ หลังจากนั้น 15 ปี ฟอร์ด ลูกชายคนเดียวของโจ ได้รับการติดต่อให้ไปประกันตัวพ่อของเขาที่สถานที่เกิดเหตุระเบิดในอดีต เพราะพ่อของเขายังคงสืบหาเรื่องราวถึงต้นเหตุของแผ่นดินไหวในครั้งนั้น จะกระทั่งได้พบกับโครงการลับของรัฐบาลบางอย่าง จนทำให้เกิดการปรากฏตัวของอสูรกายในตำนานที่เข้ามาในฐานะผู้พิทักษ์ให้กับโลกใบนี้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Godzilla ฉบับปี 2014 นี้ เป็นอีกเวอร์ชั่นที่ค่อนข้างทำกระแสแตกเป็นอย่างมาก สำหรับคนที่ชอบการปูเนื้อหา หรือชอบพาร์ทดราม่าของคนแล้ว น่าจะถูกใจกันอยู่ไม่น้อย ส่วนนึงเพราะผู้กำกับอย่าง Gareth Edwards เองก็ทำหนังสัตว์ประหลาดอินดี้ที่เน้นการปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดแบบน้อยๆ มาก่อน เลยทำให้เรื่องนี้ค่อนข้างจะออกมาเป็นโทนเดียวกันอยู่ไม่น้อย นั่นเลยทำให้บรรดาคนที่คาดหวังว่าจะได้เห็นฉากถล่มเมือง หรือมอนสเตอร์สู้กันนั้น ก็ปาเข้าไปแทบจะช่วงท้ายๆ เรื่อง ดังนั้นความเหมาะของหนังเรื่องนี้เลยอาจจะขึ้นอยู่กับสไตล์การดูหนังของแต่ละคนอยู่เหมือนกัน ถ้าใครชอบหนังมอนสเตอร์ที่เน้นพาร์ทคนอย่าง Monsters หรือ Shin Godzilla ก็น่าจะชอบเวอร์ชั่นนี้ได้อยู่
- สายหนังจักรวาลมอนสเตอร์
- สายหนังสัตว์ประหลาดถล่มเมือง
- สายหนังตระกูลก็อดซิลล่า
รีวิว / สรุปเนื้อหา
นับว่าเป็น Godzilla ของฝั่ง Hollywood อีกเวอร์ชั่นที่ทำออกมาแตกต่างจากของปี 1998 ซะเหลือเกิน ทั้งรูปร่างของเจ้า Godzilla เอง ที่กลายเป็นเวอร์ชั่นตัวหนาปึ้ก ไม่ปราดเปรียวเหมือนอย่างในเวอร์ชั่นนั้น อีกทั้งในด้านของโทนเรื่องฉบับนี้ก็เสมือนเป็นการทำออกมาเพื่อคารวะต้นฉบับของญี่ปุ่นในปี 1954 ที่เน้นในส่วนของความจริงจังเสียมากกว่า อีกทั้งยังมุ่งเน้นประเด็นของผลกระทบที่เกิดจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ที่สร้างผลเสียให้กับธรรมชาติได้อย่างไร
แม้ว่าตัวหนังจะมีจุดเด่นเป็นเจ้าอสูรกายก็จริง แต่ตัวหนังเองกลับขับเคลื่อนไปด้วยดราม่า และความสัมพันธ์ของครอบครัว ที่ได้รับผลกระทบจาก Godzilla มากกว่าที่จะไปมุ่งเน้นถึงฉากแอคชั่นและการถล่มเมืองต่างๆ ซึ่งด้วยความค่อยเป็นค่อยไปนี้ ก็ทำให้คนดูหลายๆ คนรวมถึงเราเองก็รู้สึกว่ามันมีความอืด และเนิบนาบไปกับการเล่าเรื่องอยู่ไม่น้อย ถ้าหากว่าไม่ได้อินไปกับความสัมพันธ์ของตัวละคร แต่อยากดูฉากแอคชั่นเสียมากกว่า ก็อาจจะคอพับหลับกันไปก่อนซะได้ เพราะกว่าจะเข้าถึงในมุมมอนสเตอร์ก็ใช่เวลาอยู่พอสมควร แต่ในทางกลับกันพอมองในอีกมุม ก็เรียกได้ว่าหนังมีการปูเนื้อหา ทำให้คนดูสามารถเข้าใจปม ความสัมพันธ์ รวมถึงที่มาที่ไปที่ละเอียดขึ้นสำหรับเรื่องราวในครั้งนี้ (แม้ว่ามันจะไม่ค่อยเป็นประโยชน์ก็ตาม)
แต่ถึงหนังจะออกตัวช้าไปนิด แต่เมื่อเข้าสู่ในช่วงท้ายๆ แล้ว หนังก็ค่อนข้างจัดเต็มให้กับฉากแอคชั่นได้เป็นอย่างดี มีฉากแฟนเซอร์วิสอยู่ไม่น้อยที่ชวนกรี๊ดกันได้ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยสัดส่วนที่มันค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการเอาเวลาไปเล่าพาร์ทคนที่มากกว่าแล้ว ก็นับว่าเป็นอะไรที่น่าเสียดายอยู่ดี สำหรับคนที่อยากเห็นการถล่มเมือง หรือสัตว์ประหลาดตีกัน มากกว่านี้ ทำให้ภาพรวมแล้วกระแสของ Godzilla เวอร์ชั่นนี้จึงค่อนข้างแตกอยู่พอสมควร เพราะหากใครชอบพาร์ทดราม่าของมนุษย์ ก็จะชอบที่มันปูมาดี แต่ถ้าชอบหนังเห็นมอนสเตอร์ตีกันก็อาจจะผิดหวังไม่น้อย เพื่อมันเต็มไปด้วยฉากคุยกันของเหล่ามนุษย์ แทนที่จะเป็นฉากแอคชั่นอลังการแทน
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ชื่อตัวละครของ Dr. Ishiro Serizawa ที่รับบทโดย Ken Watanabe นั้น ได้รับแรงบรรดาลใจมาจาก Ishiro Honda ผู้กำกับต้นฉบับของ Gojira ฉบับญี่ปุ่นของปี 1954 ที่หนังเรื่องนี้เสมือนเป็นการีบู้ทมาเพื่อคารวะต้นฉบับชิ้นนี้
- ในช่วงนั้นมีชื่อของ Guillermo del Toro ที่อยากจะเข้ามากำกับ Godzilla ในเวอร์ชั่นนี้ แต่ดันติด Pacific Rim (2013) เสียก่อน ซึ่งก็เป็นแนว Monster เหมือนกันเลย
- เป็นที่รู้กันว่าจุดเด่นของภาคนี้ คือเสียงคำรามที่กึกก้องสมชื่อการเป็น King of Monster เพราะตัวหนังใช้ ลำโพงที่สูงถึง 12 ฟุต กว้าง 18 ฟุต ในการเป็นเครื่องกระจายเสียงของตัว Godzilla ที่มีความเข้มถึง 1 แสนวัตต์ เพื่อให้เสียงของมันมีความทรงพลังมากๆ ในหนัง ซึ่งก็ทำให้ตอนดูในโรงเบาะสะเทือนกันเลยทีเดียว