Fight Club (1999)
ดิบ ดวล ดิบ
คะแนน
โกดังหนัง
หนังที่พาเราปล่อยใจให้ความดิบเถื่อน ความรุนแรง เพื่อเป็นการระบายตัวตน อีกทั้งยังเสียดสีทุนนิยมได้อย่างเจ็บแสบถึงใจ
คำคมจากภาพยนตร์
“We buy things we don’t need with money we don’t have to impress people we don’t like.” “เราซื้อของที่เราไม่ได้ต้องการด้วยเงินที่เราก็ไม่ได้มี เพื่อสร้างความประทับใจให้กับคนที่เราก็ไม่ได้ชอบ”
เรื่องย่อ
ชายหนุ่มนิรนาม อาชีพพนักงานออฟฟิศที่แสนเบื่อหน่าย กับการใช้ชีวิตซ้ำๆ กันไปวันๆ กระทั่งวันนึงก็เกิดเหตุบ้างอย่าง ที่ทำให้เขาต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิตไป และได้พบกับ ไทเลอร์ เดอร์เดน ชายผู้ที่ใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณดิบโดยไม่ยึดติดกับวัตถุและกฏเกณฑ์ใดๆในชีวิต ทั้งคู่ได้มีโอกาสดวลชกต่อยกัน จนชายนิรนามเองก็ได้ระบายตัวเองจากความเครียดที่มี เหมือนพบกับชีวิตใหม่ เลยเอาความรู้สึกนี้ไปจัดตั้งเป็นมวยเถื่อนใต้ดินที่มีชื่อว่า Fight Club ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มาร่วมปลดปล่อยด้วยความรุนแรงไปด้วยกัน จนกระทั่งชมรมที่ว่าก็เริ่มขยายขอบเขตไปไกลกว่าที่พวกเขาคิด
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Fight Club นั้น อยากแนะนำให้กับทุกคนที่กำลังรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับชีวิต ที่ยังคงเวียนว่ายอยู่กับการทำสิ่งเดิมๆ ในแต่ละวัน เพราะหนังเรื่องนี้จะโยนความดิบมาให้ เสมือนให้เราได้ระบายอารมณ์ ปลดปล่อยความคับแค้นใจต่อระบบทุนนิยมที่กดขี่เราอยู่ แต่คุณจะมองหนังไปได้ไกลขนาดไหนนั้นส่วนนึงอาจจะอยู่ที่สกิลการตีความ รวมถึงประสบการณ์ของตัวเอง เพราะส่วนตัวแล้ว การดู Fight Club แต่ละครั้งในชีวิตของตัวเอง ก็ยังได้มุมมองและอะไรใหม่ๆ กลับมาทุกครั้ง ซึ่งหากชอบหนังสไตล์ยียวนลึกซึ้งแบบ Pulp Fiction หรือหนังสไตล์เข้มๆ ของผู้กำกับอย่าง Seven มาก่อนหน้านี้แล้ว เราคงยื่น Fight Club ให้ได้ดูต่อด้วยความเต็มใจ
- สายหนังเสียดสีสังคม
- สายหนังแอคชั่นต้องตีความ
- สายหนังดราม่าเข้มข้น
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หนังของผู้กำกับสายละเอียดสุดเนี้ยบในทุกรายละเอียดอย่าง David Fincher ที่ยังคงเน้นในเรื่องคุณภาพในงานตัวเองอีกเช่นเคย แต่ด้วยความที่หนังค่อนข้างมีประเด็นเรื่องราวที่ลึก และต้องอาศัยการตีความอยู่ไม่น้อย เลยทำให้กระแสของหนังที่ออกมาในช่วงแรก จึงแตกออกเป็นสองเสี่ยงอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยกลุ่มที่เข้าใจและสนุกไปกับประเด็นของหนังก็จะรักหนังเรื่องนี้ จนอยากจะลองซัดหน้าใครสักคนดูบ้างหลังดูหนังจบ แต่กับอีกกลุ่มที่เกลียดหนังเรื่องนี้เอาซะมากๆ เพราะรู้สึกว่ามันต้องคอยมานั่งตีความสัญลักษณ์ต่างๆ ในหนังที่เข้าใจยากซะเหลือเกิน แต่เผอิญว่าเราดันอยู่กลุ่มที่ชอบมันมากกว่า รีวิวนี่เลยจะไปทางเชียร์ว่าทำไมมันถึงเป็นหนังที่มีคุณภาพดีในสายตาของเรา
ส่วนนึงเลยแม้ว่าสิ่งที่ฉาบหน้าหนังจะเป็นในเรื่องของความ ดุ เดือด ดิบ เอาความสะใจ กับการตั้ง Fight Club และความเท่ของตัวละคร บทพูด รวมถึงกฏที่คนยังมักเอามาใช้พูดถึงมาจนถึงทุกวันนี้ว่า “กฏข้อแรกของ Fight Club ก็คืออย่าพูดถึง Fight Club” แต่ในเนื้อแท้ของหนังแล้วกลับพูดถึงระบบทุนนิยมได้อย่างเจ็บแสบ สะเทือนไปถึงทรวงในคนดูอยู่ไม่น้อย การต่อสู้ใน Fight Club จึงไม่ต่างอะไรกับการระบาย ความคับข้องใจที่มีต่อระบบทุนนิยมที่ต่างกฏขี่พวกเขาให้ไม่มีชีวิตที่อิสระเป็นของตัวเอง และการซัดกันเน้นๆ ด้วยหมัดต่อหมัดของทุกคืนก็คือช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยเพื่อที่จะกำหนดโชคชะตาของตัวเองได้ แล้วหลีกหนีจากชีวิตที่ซ้ำซากจำเจที่เกิดขึ้น
สุดท้ายแล้วหนังก็พาเราไปได้ไกลกว่าจากการต่อยตีจากแค่ใน Fight Club สู่การแสดงออกถึงการต่อต้านทุนนิยมกันแบบสุดซอย สู่ Project Mayhem แม้ว่าคนดูส่วนมากจะเห็นด้วยกับหนังและสะใจไปกับการระบายความคับคั่งใจไปกับระบบทุนนิยมมากสักแค่ไหน แต่สุดท้ายเราเองก็ไม่สามารถปฏิเสธกับการเวียนว่ายอยู่ในระบบของทุนนิยม ทำงานสภาพเดิมๆ ไปทุกวันเพื่อหาเงินมาซื้อของให้ทันยุคทันสมัย ใช้โทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ไปเที่ยว เผื่อถ่ายรูปอวดใครๆ ว่าเราใช้ชีวิตอย่างไรให้ได้น่าอิจฉา ให้กับคนที่จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้สนใจเขาเท่าไรนัก เหมือนอย่างที่ตัวละครในหนังได้กล่าวเอาไว้อยู่ดี ทำให้ฟิลลิ่งตอนดูไปก็จุกไปกับความจริงที่เข้ามากระแทกหน้าอยู่ตลอดเวลา
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Chuck Palahniuk เจ้าของนิยายต้นฉบับของ Fight Club ได้ออกมาเล่าถึงไอเดียจากนิยายเรื่องนี้ ถึงเหตุการณ์ที่เขาได้ไปตั้งแคมป์ และบ่นกับคนกลุ่มหนึ่งที่เปิดวิทยุเสียงดัง แต่ผลที่กลับมาคือโดนกระทืบ… เมื่อกลับมาทำงานนั้น ก็แปลกใจที่ไม่มีใครถามถึงอาการบาดเจ็บอะไรของเขาเลย เขาจึงตั้งคำถามว่ามันเพราะอะไรกันนะ แล้วก็พบว่าคงเป็นเพราะบรรดาเพื่อนร่วมงานของเขาไม่ได้สนใจที่สานสัมพันธ์กับเขามากไปกว่าแค่เพื่อนร่วมงานธรรมดาๆ คนหนึ่ง จนเป็นที่มาของกลไกการป้องกันตัวเองจากการเข้าสังคมที่ไม่ได้สนใจอะไรในคนรอบข้าง จนกลายต้นฉบับเรื่องนี้
- Brad Pitt และ Helena Bonham Carter ใช้เวลาถึงสามวัน ในการอัดเสียงการมีเพศสัมพันธ์ ที่ไม่เห็นภาพในหนัง
- เพื่อเตรียมตัวรับบทที่มีฉากต่อสู้มือเปล่านั้น ทั้ง Edward Norton และ Brad Pitt ต่างเข้าคลาสทั้งมวยไทย เทควันโด และอื่นๆ เพื่อให้ฉากต่อสู้นั้นดูเป็นการดวลกันดิบจริงๆ