Drive My Car (2021)

สุดทางรัก

Drive My Car Poster
9.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

ยิ่งดูยิ่งหลงรักมันคือ 3 ชั่วโมงที่คุ่มค่าตั๋วไม่น่าเบื่อ หนังมีเสน่ห์เล่าเรื่องได้คมคายการร้อยเรียงเรื่องราวมันละมุนละไม บทจะเจ็บปวดก็เจ็บหนัก บทจะเศร้าก็เศร้าไปเลย หนังดูเรียบง่ายแต่แฝงร้อยร้าวเอาเพียบ ไม่แปลกใจที่หนังไปลุ้นออสการ์ 2021

หมวดหมู่ : Drama
สัญชาติ : Japanese
กำกับโดย : ‎Ryusuke Hamaguchi
ความยาว : 2 ชั่วโมง 59 นาที
นักแสดงนำ : Hidetoshi Nishijima, Tōko Miura, Masaki Okada, Reika Kirishima

คำคมจากภาพยนตร์

"ความจริงน่ะไม่ว่าจะเป็นยังไง มันก็ไม่น่ากลัวหรอก สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือการไม่รู้ความจริงต่างหาก"

เรื่องย่อ

ยูซูเกะ นักแสดง ผู้กำกับละครเวทีที่คลุกคลี ละครเวที และการแสดงมาตลอดชีวิต เขาคือคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป โอโตะ ภรรยาของเขาก็เสียชีวิตไปแบบกะทันหัน มันคือบาดแผลในชีวิตที่ยากจะลืม ทำให่เขาเลือกจะเดินทางครั้งใหม่เพื่อลบบาดแผลในชีวิต เมื่อมีโอกาสสำคัญในการทำละครเวทีในฐานะผู้กำกับ เขาต้องเดินทางไปยังเมืองฮิโรชิม่า และที่นั้นเองทำให้เราได้เจอเครื่องราวมากมาย รถยนต์สีแดงของเขาได้โชเฟอร์หญิงสาวคนใหม่ มิซากิ มานำพาเขาไปยังที่ต่างๆ จากที่ไม่ถูกชะตาไม่ชอบหน้า กลับกลายเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจกันได้แบบรวดเร็ว และละลายพฤติกรรมของกันและกันออกไป

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Drive My Car เป็นหนังญี่ปุ่นคุณภาพที่ควรค่าแก่การดูในโรง หนังจำลองภาพความจริงของสังคมญี่ปุ่นถึงวิถีชีวิตการทำงานผู้คนที่มักจะหมกหมุ่นทำงานหนักสนใจหน้าที่ของตัวเอง จนนำไปสู่ความเจ็บปวด ความเสียใจ จนไม่กล้าปล่อยวางไปไหน การเล่าเรื่องเป็นเส้นตรงดูเป็นความจริงจับต้องได้ ไร้ประเด็นความรักใสๆแบบหนังรักญี่ปุ่น หนังจึงเหมาะกับคอหนังที่ชอบเรื่องราวแบบขนบธรรมเนียบแบบสไตล์คนญี่ปุ่น หรือคอหนังสายดราม่าสายรางวัลหนังดูได้ยาวๆ

  • สายหนังดราม่า
  • สายหนังญี่ปุ่น
  • สายหนังรางวัล

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ปกติเวลาดูหนังญี่ปุ่นคงต้องซึ้งดราม่าเรียกน้ำตา แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น คนเราทุกคนก็มีปัญหาชีวิตด้วยกันทั้งนั้น บางคนความรัก บางคนชีวิตคู่ บางคนมีปมในใจ หนังเล่าเรื่องง่ายๆ ไม่มีเลี่ยนเลยแม้แต่ฉากเดียว ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน พระเอกมีชีวิตที่ดูอยู่แล้ว แต่อยู่ดีๆคนรักมาจากไป กลายเป็นตราบาปขึ้นมาทันที เขาไม่อาจนำพาตัวละครหลุดออกจากความช้ำความผิดหวัง สิ่งที่จะให้ชีวิตไปต่อได้นั้นคือการเดินทางครั้งใหม่ ภาพของ ยูซูเกะ หนังเลยเหมือนพาเราไปสำรวจจิตใจตัวละครทีละนิดทีละนิดไม่มีใครยึดติดกับอดีตได้ตลอดไปเราต้องมูฟออนเผชิญหน้ากับสิ้งใหม่ๆ มีอยู่ฉากหนึ่งที่พระเอกรู้ว่าเขาจะต้องมีโชเฟอร์เป็นผู้หญิง แต่เขาไม่ยอมรับมันเกิดขึ้นเพราะความรู้สึกว่าชายเป็นใหญ่ไม่เปิดใจ แต่พอเขารับฟังและเข้าใจเขาเลยค่อยๆเปิดใจ หนังยึดติดความรู้สึกตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ได้ตลอดไป บางครั้งเราเองก็ต้องยอมรับสิ่งใหม่ๆที่กำลังเข้ามา พล็อตเรื่องที่นำพาผู้กำกับละคร กับโชเฟอร์สาวมาเจอกันมันดูธรรมชาติเป็นเรื่องจริงที่ดูยังไงก็จับต้องได้ง่ายกว่า การมี มิซากิ ทำให้ ยูซูเกะ ที่เคยมีจิตใจที่บอบช้ำค่อยๆดีขึ้นเรื่อย กลับมีชีวิตชีวาในการทำละครให้ดีกว่าเดิม จริงๆอยากกจะพูดว่าไม่ใช่แค่ 2 ตัวละครที่ทำให้หนังมีเสน่ห์แต่หนังยังมีรถคนสีแดงที่มาช่วยทำให้หนังขับเคลื่อนไปข้างหลายๆฉากเลยเปิดพื้นที่นำพาตัวละครเข้าใจกัน ได้แบ่งปันความทุกข์ใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้

สิ่งที่น่าชื่นชมคือการเล่าเรื่องที่ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นได้ละเอียด ไดอาล็อก วิธีการเล่าเรื่องบทหนังทำได้คมคาย บรรยากาศในเมืองฮิโรชิม่า 2 ข้างทางงดงาม ถูกถ่ายทอดผ่านสายตา อารมณ์ความเบื่อหน่ายของตัวละครทำได้อย่างน่าทึ่งเราไม่ละสายตาจากการดูหนังเรื่องนี้ตลอด 3 ชั่วโมง ตัวละคร 2 คนมีพลังงานบางอย่างที่ทำให้ การเดินทางไปทั่วฮิโรชิม่าทรงพลังในทุกซีนหนังฉายผ่านการแสดงระหว่างฉากจริง การซ้อมบทละคร การเล่นละครเวทีออกมาได้จริงจัง ผ่านการเซ็ตติ้งในแต่ละฉาก ที่ดูไม่น่าเบื่อ มุมมองภาพเฟรมกล้องที่เล่าออกมาในแต่ละซีน งดงามเหลือเกิน ยูซูเกะ เปรียบเสมือนนักแต่งบทกวีเขาต้องใช้สมองความคิดความรู้สึกในการเล่าเรื่องแต่ละฉากที่เราเห็นบทพูดอารมณ์มันค่อนข้างจะเป็นศิลปะ วิธีคิดวิธีการทำงานเลยค่อนข้างจะทำใ้ห้ตัวละครบางคนยากจะเข้าใจวิธีคิดของเขา แต่ละฉากสื่อสารออกมาได้สะเทือนใจสะเทือนความรู้สึกเหมือนกัน แถมมันตลกร้ายตรงที่ว่าตัวละครที่เป็นปมในใจของพระเอกดันโผล่มาแคสติ้งละครเวทีของเขาอีกตั้งหาก เท่านั้นยังไม่พอยังพยายามตีซี้เขาเพื่อตอกย้ำซ้ำเติมความรู้สึกเขาอีก มันเลยทำให้หนังมีเนื้อมีเนื้อมากกว่าจะโฟกัสที่ตัวละครหลัก 2 คนและประเด็นละครเวทีเพียงเท่านั้น องค์ประกอบหนังจากช่วงกลางไปท้ายเข้มข้นมันค่อยๆสำรวจจิตใจ ยูซูเกะ ที่ต้องแบกรับความผิดหวังมาอีกครั้ง และเตือนสติให้เราได้รู้ตัวว่า เราไม่ควรหลอกตัวเอง เราต้องทำใจยอมรับความจริงเพื่อให้ขีวิตได้ก้าวเดินต่อไปโดยไม่หนีปัญหาอีกแล้ว

บทหนัง บรรยากาศหนังจะไม่มีทางยอดเยี่ยมได้เลย ถ้าหากปราศจากการแสดงที่ยอดเยี่ยมของดารานำ Hidetoshi Nishijima ในบทบาทยูซูเกะ ชายหนุ่มผู้ที่อยากหนีอยากหลุดพ้นจากความผิดหวังความเจ็บปวด ชายผู้อยาก Move On แต่สุดท้ายยิ่งหนียิ่งก้าวผ่านมันไปไม่ได้ สีหน้าที่นิ่งใบหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเรียบนิ่ง เก็บซ่อนความปวดร้าว ความโกรธแค้น คาแรกเตอร์ที่เขาเล่นแบกอารมณ์มาก เป็นงานท้าทายมากที่เต็มมาเก็บอาการความผิดหวังความเสียใจเพราะว่ามันต้องใช้พลังงานที่เยอะมาก แต่สุดท้ายเขาถ่ายทอดออกมาได้เป็นธรรมชาติดูจับต้องได้มันเป็นชีวิตจริงที่คนเราจะต้องเจอความเจ็บปวดมักอยู่กับเรามากกว่าความสุข พอมาเข้าฉากร่วมกับ โทะโก มิอูระ สาวน้อยโชเฟอร์มาดนิ่งที่มาซัพพอร์ทเนื้อหาได้ดีเพราะอีกฝ่ายก็มีสีหน้ารอยร้าวที่หยั้งลึกลงไปไม่แพ้พระเอกอย่างยูซูเกะ บทหนังไดอาล็อคช่วยผลักดันให้เห็นอารมณ์การแสดงของตัวละครที่ทำให้เราเข้าอกเข้าใจไปพร้อมๆกัน ส่วนอีกคนที่ไม่พูดถึงเขาไม่ได้ Masaki Okada ตัวละครที่สร้างบาดแผลให้พระเอก การมีหนุ่มหน้าตาดีคนดีส่งให้บทหนังแข็งแรงมาก เปิดตัวเหมือนคนที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัย แต่ภาพความเลวร้ายค่อยๆเผยฐานแท้ออกมาทีละนิดทีละนิด และค่อยๆสร้างปัญหาให้ยูซูเกะ กลายเป็นคนที่มี Impact ในหนังมากในช่วงท้าย

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • เดิมทีหนังเรื่องนี้วางแผนการถ่ายทำไปที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ แต่เพราะโควิด 19 ทำให้หนังต้องเปลี่ยนแผนไปถ่ายทำที่ฮิโรชิม่าแทน
  • หนังติดโผลุ้นชิงรางวัลออสการ์ 2022 ในสาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยม
  • เรื่องสั้น Drive My Car มีความยาว 50 หนา
  • หนังคว้ารางวัลเทศกาลหนังเมืองคานส์ 3 รางวัลได้แก่ ได้แก่ บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, International Federation of Film Critics’ Prize (FIPRESCI Prize) และรางวัล Ecumenical Jury Prize
  • Barack Obama ลิสต์ให้เป็นหนังโปรดที่เขาชอบดูมากในปี 2021
  • รถยนต์คันแดงที่ใช้ในหนังมีชื่อรุ่นว่า Saab 900