Braveheart (1995)
วีรบุรษหัวใจมหากาฬ
คะแนน
โกดังหนัง
ผลงานการกำกับหนังสเกลใหญ่เรื่องแรก ของ Mel Gibson ที่สะท้อนความสามารถเขาเป็นอย่างดี ซาบซึ่งตรึงใจ ปลุกเลือดรักชาติได้อย่างเต็มที่
คำคมจากภาพยนตร์
“Every man dies, but not every man really lives.” “ชายทุกคนต้องตาย แต่ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่จะได้ใช้ชีวิต”
เรื่องย่อ
ในศตวรรษที่ 13 ประเทศสก็อตแลนด์นั้นกำลังจะสูญเสียอิสรภาพให้กับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ของอังกฤษ วิลเลียม วอลเลซ ชายที่ทนรับต่อความกดขี่ไม่ได้ ประกอบกับที่ภรรยาของเขาถูกทำร้ายและโดนฆ่าตายโดนทหารอังกฤษ เขาเลยตั้งตนขึ้นมาเป็นผู้นำในการตั้งกองทัพ ที่จะขึ้นมาจับอาวุธเพื่อต่อต้านกับอังกฤษ จากการแก้แค้นส่วนตัวเลยนำมาสู่การต่อสู่เพื่ออิสรภาพ ด้วยสงครามครั้งใหญ่ที่ต้องแลกมากับเลือดเนื้อเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราช
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Braveheart นั้น เป็นหนังสงครามย้อนยุคในระดับ Epic อีกเรื่อง ที่สะท้อนความสามารถในการกำกับหนังของ Mel Gibson ได้เป็นอย่างดี จนได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากออสการ์มาครอง อีกทั้งบทที่ออกมาในสไตล์ละครที่ดูง่าย แต่กลับปลุกใจและความฮึกเหิมในใจคนดูได้เป็นอย่างดี แม้หนังอาจจะไม่เหมาะกับคนที่ชอบเนื้อหาที่ตรงตามประวัติศาสตร์ หรือไม่ชอบความรุนแรงสักเท่าไร แต่หากมองข้ามเรื่องราวเหล่านี้ไปได้แล้ว นับว่าเป็นหนัง Epic ที่ยิ่งใหญ่ดีเหลือเกิน ถ้าใครชอบหนังแบบย้อนยุคสุดยิ่งใหญ่อย่าง Gladiator, The Patriot หรือ Kingdom of Heaven แล้ว Braveheart ก็อยู่ในตระกูลชุดนี้เลย
- สายหนังอิพิคย้อนยุค
- สายหนังสงครามย้อนยุค
- สายหนังฆ่าล้างแค้น
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หลังจากที่ได้ทำหนังเล็กๆ มาอย่าง The Man Without a Face แล้ว ผลงานที่สองของผู้กำกับ Mel Gibson ก็มาจับหนังสงครามย้อนยุคใน Epic ที่ใช้ทุนสร้างไปกว่า $72 ล้าน ซึ่งด้วยการเล่นเอง กำกับเองก็ดูท่าจะเป็นงานหนักอยู่ไม่น้อย แต่ผลงานที่ออกมาก็เรียกได้ว่าออกมาได้ปลุกเลือดรักชาติได้อย่างเต็มพิกัด และระเบิดความคลั่งไปกับฉากแอคชั่นสุดโหดที่ทวีความรุนแรงให้เห็นความโหดร้ายของสงครามได้เป็นอย่างดี จนกลายมาเป็นลายเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาที่มักมีความรุนแรงในระดับ Rate R อยู่เสมอ ซึ่งรางวัลมากมายที่ได้มาในหนังเรื่องนี้ก็เหมือนเป็นเครื่องการันตีคุณภาพมันอยู่แล้ว
หนังมีความครบเครื่องทุกองค์ประกอบในหนังสงครามมาก นับตั้งแต่ต้นสายปลายเหตุของหนังก็ดูเป็นแรงจูงใจที่ดีที่นำไปสู่การต่อสู้เพื่ออิสรภาพ มีการปูแรงจูงใจ และความคลั่งแค้นของตัวละครเอก จนเป็นพื้นฐานที่เสริมในส่วนสงครามในหนังได้เป็นอย่างดี ในฉากต่อสู้ต่างๆ นั้นก็อุดมไปด้วยความรุนแรง ดูเอามันส์ และอัดแน่นไปด้วยพลังอย่างเต็มเปี่ยม แม้ว่าตัวบทจะค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ อีกทั้งยังโดนคนดูสับในเรื่องของการใส่สีตีไข่แต่งเติมเข้าไปเยอะ เพื่อความบันเทิง แต่ก็ทำให้มันเข้ากับหนังได้เป็นอย่างดีในการลากเรื่องราวไปถึงความพีคในตอนท้าย
ด้วยความที่ปรับเปลี่ยนเนื้อหาเยอะก็อาจจะเป็นข้อดี ในการสร้างจังหวะหนังให้ออกมาดึงอารมณ์ให้คนดูได้อยู่มาก ให้เรามีอารมณ์ร่วม ให้เราอยากเชียร์ให้ฝั่งตัวเอกชนะอำนาจเผด็จการไปด้วยกัน อีกส่วนที่ดีงามของก็คือดนตรีประกอบจากฝีมือของ James Horner ที่ดูปลุกเร้าซะเหลือเกิน จนทำให้แม้บทหนังจะธรรมดา แต่พลังที่หนังส่งมาให้ และการบิวท์ขั้นสุด ก็ทำให้คนดูอินไปจนต้องเสียน้ำตาให้กับหนังไม่ยากเลย หากใครที่ไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ที่สมจริงแล้ว นี่คือหนังสงครามอีกเรื่องที่ควรมาก ด้วยรางวัลออสการ์ถึง 5 รางวัลในปีนั้น แถมยังมีรางวัลใหญ่อย่าง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยม ก็มั่นใจได้เลยว่าของเขาดีจริง
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ในตอนแรก Mel Gibson ไม่คิดที่จะรับบท William Wallace เพราะเขารู้สึกแก่เกินกว่าจะรับบทนี้ เพราะตามบท Wallace จะอายุ 20 ในขณะที่เขาอายุ 38 แต่ค่าย Paramount ก็ยืนยันว่าจะให้เงินเขามาสร้างหนังก็ต่อเมื่อเขารับบทนำเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายก็เลยตกลงและออกมาเป็นแบบที่เราเห็นกัน
- สาเหตุที่หนังออกมาไม่ตรงตามประวัติศาสตร์นั้น ก็เป็นเพราะผู้เขียนบทอย่าง Randall Wallace นั้น เขาไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์มาโดยละเอียดในตอนเริ่มแรก แต่กลับเน้นเขียนบทจากการสร้างดราม่าและอารมณ์ร่วม แล้วค่อยเอาประวัติศาสตร์จริงๆ มาปรับแก้ในบทอีกครั้ง