1917 (2020)

1917

1917 Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

เล่าเรื่องได้อย่างกล้าหาญ นี่คือหนังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่แปลกใหม่ จัดจ้านทุกการนำเสนอ ถ่ายทอดทุกอย่างได้ลุ้นระทึกแทบทุกฉาก เหมือนพาคนดูเข้าไปอยู่ในดงสงครามยังไงยังนั้น

หมวดหมู่ : Drama War
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Sam Mendes
ความยาว : 1 ชั่วโมง 59 นาที
นักแสดงนำ : George MacKay, Dean-Charles Chapman, Richard Madden

คำคมจากภาพยนตร์

"There is only one way this war ends. Last man standing."
"มีทางเดียวเท่านั้นที่สงครามนี้จะจบลง คือคนสุดท้ายที่ยืนอยู่"

เรื่องย่อ

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารอังกฤษ ประกอบด้วย สคอฟิลด์ และ เบลก ได้รับมอบหมายให้ไปร่วมปฏิบัติการที่ดูเหมือนว่าอาจไม่มีทางสำเร็จ พวกเขาต้องข้ามเขตแดนของข้าศึก เพื่อส่งสารสำคัญก่อนทหารพันกว่าคนจะต้องสังเวยชีวิตให้กับกับดักของเยอรมัน

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ 1917 คือหนังที่คอหนังสงครามควรได้ดูสักครั้งในชีวิต แม้เวลาจะผ่านมาไม่นาน นี่คือหนังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่นำเสนอและตีความถึงความโหดร้ายผู้คนล้มตาย ตีที่มันเจ๋งคือวิธีการดำเนินเรื่อง ที่ทำออกมาได้ไม่เหมือนใคร เพราะมันมีครบแทบทุกองค์ประกอบที่หนังสงครามควรจะมี และไม่ลืมที่จะใส่หัวใจให้คนดูสามารถอินไปกับหนังได้ง่ายๆ แม้ว่าจะเกิดไม่ทันยุคนั้นก็ตาม ตัวหนังยังการันตีมาด้วยรางวัลมากมาย จนน่าจะติด Top Chart ของหนังสงครามในหลายๆ สำนักอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งคนก็คงเรียกตัวเองเป็นคอหนังสงครามยังไม่ได้ หากยังไม่ได้ดู Saving Private Ryan สักครั้งจริงๆ ถ้าชอบหนังอย่าง Hacksaw Ridge หรือซีรี่ส์อย่าง Band of Brothers แล้ว นี่คือหนังสงครามที่มีหัวใจอีกเรื่องที่อยากให้ดูกัน

  • สายหนังสงคราม
  • สายหนังรางวัลคุณภาพดี
  • สายหนังคลาสสิคยุค 90

รีวิว / สรุปเนื้อหา

1917 เป็นหนังที่ไม่ต้องดูแล้วต้องอ่านเนื้อหา ไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรให้มาก แค่เปิดเรื่องมาไม่กี่นาที หนังก็พาเราไปเจอทหาร 2 คนได้รับภารกิจนำจดหมายไปส่งให้อีกกองทัพเพื่อหยุดการโจมตีก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในกับดักของศัตรู แต่หลังจากนั้นแหละคือความสนุกที่รอคนดูอยู่ ภารกิจคนส่งศาลที่ต้องเดินทางโดยที่อยู่ในดงสงคราม คาดเดาอะไรไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่รอคอยพวกเขาอยู่ ปืน ระเบิด แม้ว่าจะเป็นทหารฝีมือดีได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี แต่ชีวิตข้างหน้าเต็มไปด้วยความเสี่ยง สถานการณ์ที่ชวนอึดอัดความอันตรายเข้ามาใกล้ตัว บรรยากาศหนังมันชวนน่าตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เราทำอะไรไม่ได้ คิดได้อย่างเดียว ต้องรอด ต้องมีชีวิตรอด การเดินทางของทหาร 2 คนนี้จะไม่ต่างอะไรกับภัยร้ายที่พวกเขาไม่รู้ว่าจะโดนซุ่มยิงซุ่มโจมตีอีกทีเมื่อไหร่ บทหนังทำออกมาได้โคตรเยี่ยม เราได้เห็นความเป็นมนุษย์ของตัวละคร 2 คน ที่ไม่ได้รู้สึกว่ามีใครทอดทิ้งเห็นแก่ตัว กลายเป็นเรื่องราวที่โคตรสนุก

ไฮไลท์ของหนังอยู่ที่การเดินทางของตัวละครที่เหมือนเป็นการสำรวจซากปรักหักพัง สนามรบที่เต็มไปด้วยดงระเบิด หลุมระเบิด บังเกอร์หลบภัยไร้ชีวิต เมืองร้างที่เหลือแต่ซาก สงครามทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์ ศพแล้วศพเล่าที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายมาพร้อมกับความสูญเสีย หนังร้อยเรียงออกมาได้ระทึกในแง่ดราม่าทริลเลอร์ มีความสมจริง ตอนที่ตัวละครหนีตาย ก็หนีเพื่อมีชีวิตรอด เขาต้องพบเจอเรื่องราวที่ชวนสะเทือนขวัญตลอดทาง การสร้างฉาก Long Take คือสิ่งที่ทำให้หนังมีเอกลักษณ์ พาเรารู้สึกสนุก เหมือนลุ้นไปกับฉากแอ็คชั่นจะรอดตายมั้ยวะ เอาตัวรอดยังไงดี พลาดมาคือจบเห่ การออกแบบทำออกมาได้เจ๋ง การวางเฟรมภาพวิธีการนำเสนอ การเคลื่อนกล้องที่แม่นยำ ได้เห็นภาพนักแสดงแบบเต็มๆ โรเจอร์ ดีกินส์ ควรได้เครดิตไปเต็มที่ควบคุมจังหวะภาพ พาร์ทกลางคืนที่คือความมหัศจรรย์ของการดูหนังจริงๆ ไม่รู้ว่าจะตื่นเต้นหรือตื่นตาจนขนลุกก่อนดี สร้างอารมณ์ได้น่าตื่นเต้นลุ้นไปกับตัวละคร Long Take ถูกออกแบบมาได้เป็นธรรมชาติ ทำทุกอย่างออกมาแนบเนียน และภาพฉากสงครามที่นำเสนอออกมาแม่งเข้าขั้นอลังการ บทหนังและเทคนิคการถ่ายทำช่วยขับเคลื่อนให้องค์ประกอบมันครบเครื่องสมจริงเหมือนพาเราไปอยู่ในดงสงครามยังไงยังนั้น

การออกแบบงานสร้างโปรดักชั่นก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้ การเทงบมหาศาลเนรมิตรทุกอย่างขึ้นมาสวยงามและหลายๆฉากก็น่าจดจำ เพราะมันเป็นซีนที่ 2 ตัวละครต้องดิ้นรนหนีตาย ทั้งแอ่งโคลนที่เต็มไปด้วยลวดหนามและซากศพ อุโมงค์ลับของเยอรมัน ฟาร์มเลี้ยงวัวที่ถูกทิ้งร้างกับต้นเชอร์รี่สีขาว โรงนาที่ถูกเครื่องบินตกใส่ เมืองร้างที่มีเยอรมันเฝ้าในห้วงเวลากลางคืนที่พลุไฟถูกยิงวาดโค้งหรือฉากสายน้ำที่เชี่ยวกรากและมากมวลด้วยซากศพลอยติดตลิ่ง จนถึงจุดปะทะในแนวหน้าของสงครามที่ต้องวิ่งผ่าลูกกระสุนปืนใหญ่ จนถึงฉากสุดท้ายที่จบลงตรงต้นไม้ แล้วเปิดพื้นที่ให้ตัสละครอยู่ในห้วงอารมณ์ความคิดหลังทำภารกิจเสร็จสิ้นคือแบบมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราจดจำได้หมด จังหวะหนังเล่าได้อย่างไหลลื่น แต่เหนือสิ่งอื่นได้ คงต้องยกความดีความชอบให้ George MacKay พระเอกหนุ่มที่ทุ่มเทสุดพลังจนทำให้หนังมีโมเมนต์ที่สะกดผู้ชมได้อยู่หมด การตัดต่อภาพ การใส่เพลงให้เหมาะสมในแต่ละซีน หลายๆจุดมันสอดคล้องทำให้ตัวหนังครบเครื่อง

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ตอนจบของหนัง ต้นไม้ที่พระเอกไปนั่งคือที่ที่นักแสดงสมทบไปยื่นฉี่
  • ฉากการชนกันแล้วล้มของพระเอกและนักแสดงประกอบ เป็นการล้มที่ไม่ได้มีอยู่ในบท แต่เนื่องด้วยการถ่ายทำมีระเบิดไม่เพียงพอต่อการถ่ายใหม่ ทำให้ฉากนั้นตัวของพระเอกต้องด้นสดแล้ววิ่งต่อ จนทำให้เกิดฉากแบบที่เราเห็นกันในหนัง นั้นเอง