รวม 7 หนังสร้างแรงบันดาลใจ ให้มีไฟในการทำงานรับต้นปี
หลังหยุดยาวมาแบบนี้ ก็เข้าสู่ปีใหม่ 2022 กันแล้ว แทนที่หลายคนจะได้พักผ่อนเต็มที่และมีไฟลุยงานกลับกลายเป็นความรู้สึกที่ว่าอยากพักต่อไปจังเลย แต่เมื่อชีวิตมันเลือกไม่ได้สุดท้ายก็ต้องมาลุยกันต่อไป แต่ด้วยความที่มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนความรู้สึก วันนี้เลยอยากแนะนำหนังที่น่าจะปลุกไฟในการทำงานของเราให้ขึ้นมาเผชิญหน้ากับปัญหาและอุปสรรคกันต่อได้
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักธุรกิจหรือมนุษย์เงินเดือนก็ตาม เราก็เชื่อว่าหนังที่เลือกมานั้นน่าจะสามารถเชื่อมโยงกับการทำงานของคุณได้ไม่ว่าทางใดก็ทางนึง และปลุกไฟในตัวคุณให้รู้สึกอยากกลับมาทำงานขึ้นก็ได้ เราก็หวังว่ามันจะมีสักเรื่องที่ดูแล้วจะสร้างแรงบันดาลให้รู้สึกแบบนั้นกัน ส่วนจะมีเรื่องอะไรบ้างนั้นก็ลองมาดูกันเลย
Jerry Maguire (1996) – ทำงานให้มีคุณธรรม
เจอร์รี แมกไกวร์ ชายหนุ่มที่ทำอาชีพเป็น Agency ให้กับนักกีฬาของบริษัทนายหน้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง โดยเขาเองทำงานแบบเน้นให้ลูกค้าเซ็นสัญญาเพื่อให้ได้เงินมากที่สุด จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะเกิดเหตุที่นักกีฬาในการดูแลของเขาบาดเจ็บแต่ยังกลับติดภาระสัญญา โดยการกลับโฟกัสกับนักกีฬาแต่ละคนมากขึ้น และลดปริมาณคนที่จะมาเซ็นสัญญา แต่เจตนาดีนี้ก็ทำให้เขาถูกไล่ออกในทันที แต่สุดท้ายยังเหลือลูกค้าเก่าของเกาอย่าง ร็อด ทิดเวลล์ และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจของตัวเองต่อไป
Jerry Mcguire เป็นหนังหนังดราม่าในเรื่องของการทำธุรกิจชั้นดี อีกทั้งยังเป็นหนังที่สะท้อนมุมที่ดีของความรักด้วย มันจึงเป็นหนังอีกเรื่องที่เหมาะมากๆ ในการเอามาตั้งคำถามและย้อนดูตัวเองว่า ทุกวันนี้เรามีธรรมมาภิบาลในการทำงานพอหรือยัง หรือเรานั้นทำแล้วเอาเปรียบใครอยู่หรือเปล่า และหากเรามีทางเลือกอยู่นั้น เราจะเลือกที่จะทำแบบนั้นต่อไป หรือเลือกเส้นทางใหม่เพื่อความถูกต้องในแบบที่มันควรจะเป็น นับเป็นหนังธุรกิจฟีลกู้ดอีกเรื่องที่อยากให้ได้ดูกัน
Joy (2015) – ทำงานแบบสู้ชีวิต
จอย หญิงสาวธรรมดาที่เติบโตมาด้วยครอบครัวที่มีปัญหา และไม่เคยเป็นที่เพิ่งให้กับเธอได้เลย เธอจึงเติบโตขึ้นมาด้วยความแข็งแกร่งและดูแลตัวเองได้เสมอ แม้กระทั่งชีวิตคู่ที่พังลงไป ก็ทำให้เธอต้องแบกรับภาระต่างๆ ในฐานะหัวหน้าครอบครัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อโชคชะตาก็เลวร้ายไม่หยุด เมื่อเธอต้องอยู่ในสภาวะว่างงานจนต้องหาทางรอด ด้วยการใช้จินตนาการและความสามารถที่มี เพื่อเข้าสู่เส้นทางธุรกิจอย่างการทำไม้ม็อบออกมาขาย
สำหรับ Joy นั้น เหมาะกับคนที่กำลังมองหาหนังที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจ หรือหาแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นธุรกิจเป็นของตัวเอง เพราะเรื่องนี้จะเริ่มเล่าตั้งแต่วิธีคิด การหาไอเดีย การทำโปรโตไทป์ การหาช่องทางการขาย การโฆษณา อะไรต่างๆ นานาเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าแทบจะมีครบจบในเรื่องเดียว แถมตัวหนังก็ยังทำออกมาได้อย่างสนุกด้วยนะ ถ้าใครชอบหนังแนวๆ ธุรกิจที่มีตัวละครหญิงแกร่งมานำเรื่องก็เหมาะเลย
The Pursuit of Happyness – ทำงานแบบสู้ไม่ถอย
คริส เซลล์แมนขายเครื่องสแกนกระดูก ที่มีชีวิตที่ค่อนข้างเรียบง่ายกับครอบครัว แต่วันนึงหายนะก็มาเยือน เมื่อเครื่องสแกนกระดูกที่เขาลงทุนไปนั้น กลับขายไม่ดีเหมือนเก่า จนทำให้เงินทุนจมไปแทบทั้งหมดและเกิดปัญหาทางการเงินตามมา แม้แต่ภรรยาก็ยังตีจากแยกทางกันไปเพราะรับภาระไม่ไหว คริสจึงต้องกระเตงลูกชายออกมาเพื่อพยายามขายเครื่องสแกนกระดูกต่อไป แต่ดูแล้วก็แทบไม่มีหวัง เขาจึงปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่ เพื่อมุ่งสู่งานสาย Broker ตามบุคคลที่เป็นตัวอย่างความสำเร็จ ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตที่ถาโถมเข้ามา
สำหรับ The Pursuit of Happyness เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มองหาหนังสร้างพลังบวกในชีวิต เติมไฟในการสู้ชีวิต ในการทำงาน ทำธุรกิจหรืออะไรก็ตาม เพราะบทในหนังคือดราม่า ขยี้ใจหลายซีนเหลือเกิน แถมพอมันเป็นหนังที่สร้างมาจากเรื่องจริงด้วย ก็ยิ่งมีพื้นฐานบางอย่างให้คนเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้น ทำให้คนที่ชอบหนังถ่ายทอดเรื่องราวแบบคนสู้ชีวิต เริ่มจากไม่มีอะไรจนไปถึงจุดที่สำเร็จได้นั้น ได้รับแรงบันดาลใจไปแบบเต็มๆ จริงๆ
The Intern – ทำงานแบบยอมรับความแตกต่าง
เบน วิทเทเกอร์ ชายวัย 70 ปี ที่หลังจากเกษียณจากการทำงานมาพักใหญ่ แต่ก็ยังรู้สึกว่าชีวิตมันว่างเกินไปจนอยากที่จะหาอะไรทำ จนกระทั่งเขาได้ไปเจอการรับสมัครพนักงานอาวุโสฝึกหัดในองค์กรแห่งหนึ่งที่เป็นสตาร์ทอัพด้านสินค้าแฟชั่นออนไลน์ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในองค์กรนี้ร่วมกับเจ้าของกิจการอย่าง จูลส์ ออสติน สาวสวยรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ปั้นธุรกิจมาจนประสบความสำเร็จ ในช่วงแรกความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคของความต่างวัย แต่ไม่ทันไรทั้งคู่กลับจูนวิธีการทำงานและทัศนคติกันออกมาได้เป็นอย่างดี จากการแลกเปลี่ยนมุมมองกันได้อย่างน่าสนใจ
สำหรับ The Intern หนังที่เต็มไปด้วย ความฟีลกู๊ด อิ่มเอม ทำให้ใจฟูได้โดยที่ไม่ได้โลกสวยจนเกินไป อีกทั้งยังให้แง่คิดในการทำงาน การทำธุรกิจให้กับคนดูได้อย่างมากมาย มีประเด็นอย่างเรื่องความแตกต่างของ 2 Generations กับวิธีคิด วิธีการทำงานที่ต่างกันออกไปที่ทำมาได้อย่างน่าสนใจ และด้วยเคมีที่เข้ากันของทีมดารา ที่เหมือนปู่วัยเกษียณสุดน่ารัก กับสาวเวิร์กกิ้งวูเมนไฟแรง เลยทำให้เป็นหนังแนวๆ ดราม่าพลังบวก สายธุรกิจอีกเรื่องที่หลายคนน่าจะชอบ
The Devil Wears Prada – ทำงานแบบ Work Life Balance
แอนเดรีย สาวน้อยจบใหม่ไฟแรงที่จู่ๆ ได้รับการสอบสัมภาษณ์ในบริษัทที่ไม่ได้คาดฝันจากบริษัทเจ้าของนิตยสารแฟชั่นอันดับหนึ่ง ด้วยความที่แตกต่างไม่เหมือนใครของเธอนั้น ทำให้เข้าตา มิแรนด้า พรีสท์ลี่ บรรณาธิการสุดเฮี้ยบที่โด่งดังในวงการนิตยสารแฟชั่นระดับโลก ซึ่งงานที่เธอสอบผ่านนั้นก็คือการเป็นผู้ช่วยของมิแรนด้านั่นเอง แม้ตอนแรก แอนเดรีย จะดีใจที่ได้รับงานนี้มา แต่สุดท้ายเธอถึงได้รู้ว่าฝันร้ายในชีวิตเป็นอย่างไร เมื่อบอสใหม่ของเธอคนนี้สั่งงานเธอเป็นว่าเล่น แถมเธอยังต้องคอยซัพพอร์ททุกอย่างในชีวิตของเธอ
สำหรับ The Devel Wears Prada แม้จะดูเป็นหนัง Chick Lit สไตล์ชีวิตการทำงานของสาวๆ แต่แท้จริงแล้ว ตัวหนังก็มีมุมมองในการจัดสมดุลชีวิตในด้านต่าง ๆ ให้ลงตัวไม่เกิดปัญหาให้กับคนวัยทำงานในเพศ ทุกช่วงอายุได้เป็นอย่างดี เพราะหนังมันเล่าเรื่องได้ง่าย ๆ จนทำให้เราได้ดูหนังไป ย้อนกลับมาดูตัวเองไปด้วย รวมไปถึงข้อคิด เทคนิคการทำงานต่าง ๆ ที่น่าสนใจก็มีครบในหนังเรื่องนี้เหมือนกัน มันเลยเป็นหนังสไตล์หญิงทำงานแกร่งที่มีข้อคิดดีๆ เพียบเลย
The Internship (2013) – ทำงานแบบไม่หยุดเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
บิลลี่ และนิค สองเซลล์แมนหนุ่มที่มีอาชีพขายนาฬิกาข้อมือ ที่จู่ๆ งานของพวกเขาก็ได้ผลกระทบจากการ Disruption ไปเต็มๆ เพราะคนเลิกใช้นาฬิกาแบบปกติแล้วใช้ Smartwatch กันแทนแล้ว ในขณะที่พวกเขากำลังสิ้นหวังนั้น บิลลี่ ก็แนะนำให้ นิค เข้าร่วมโครงการฝึกงานของ Google ด้วยกัน โดยหากทีมไหนที่สร้างผลงานได้ดีที่สุดก็จะได้เข้าร่วมงานที่นี่ด้วย พวกเขาจึงต้องงัดความเก๋าที่มี แข่งกับบรรดากีคที่ร่วมฝึกงานด้วยกัน เพื่อที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนี้ให้ได้
อีกหนังดีๆ ที่ให้แรงบันดาลใจหลายๆ อย่าง ทั้งการที่ส่งเสริมให้เราอย่าหยุดที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพื่อตามโลกให้ทัน เหมือนอย่างบิลลี่ และ นิค ที่ต่างไม่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีเลย แถมก็ยังมีอายุประมาณนึงแล้ว แต่สุดท้ายเมื่อสถานการณ์บีบบังคับพวกเขาก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ ซึ่งนอกจากในเรื่องแงคิดแล้ว มันยังพาเราไปสำรวจองค์กรใหญ่ของโลกอย่าง Google ว่าภายในเป็นยังไงบ้าง และมันก็ช่างน่าตื่นตาตื่นใจดีจริงๆ
Itaewon Class (2020)
สมัยมัธยมนั้น พัคแซรอย เด็กหนุ่มที่ออกตัวปกป้องเพื่อนในชั้นเรียน จาก จากกึนวอน ซึ่งมีฐานะเป็นลูกชายของ ซีอีโอบริษัทจางกา ที่ทำธุรกิจอาหารยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ ซึ่งเขาถูกบังคับให้ทำการขอโทษ แต่พัคแซรอยก็เชื่อว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้อง เลยทำให้ผลที่ออกมาคือเขาโดนไล่ออกจากโรงเรียน และพ่อของเขาก็โดนไล่ออกจากงานจากในบริษัทนี้ด้วย หนำซ้ำพ่อของเขาถูกรถชนตายด้วยฝีมือจากจางกึนวอน ส่วนพักแซรอยก็ติดคุกจากการทำร้ายร่างกาย เมื่อวันหนึ่งที่เขาถูกปล่อยตัวออกมา เขาเลยวางแผนที่จะเปิดร้านอาหารของตัวเอง และแก้แค้นธุรกิจจางกาให้ได้
อีกซีรี่ส์เกาหลีที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง ที่แม้ว่าในแง่ของความสมจริงในการทำธุรกิจมันอาจจะไม่ได้ดูน่าเชื่อมากนัก และส่วนตัวก็มองว่าการใช้ความดีเอาชนะทุกสิ่งก็ดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากไปหน่อยเมื่อต้องต่อสู้กับธุรกิจทุนนิยมแบบจางกาอย่างนั้น แต่ทว่าตัวหนังเองก็ยังมอบแง่คิดในการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆ และการมีไฟที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายได้อย่างที่ต้องการ ก็ดูเป็นอะไรที่ชวนปลุกไฟในตัวในตัวได้อยู่เหมือนกัน แถมยังเป็นซีรี่ส์ชวนเดานางเอกกันได้สนุกดีแท้เลย