The Ring (2002)
คำสาปมรณะ
คะแนน
โกดังหนัง
อีกงานรีเมคที่ยังคงความสยองจากต้นฉบับเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
มีการปรับเรื่องให้เข้ากับความเป็นอเมริกันได้อย่างน่าสนใจ เป็นอีกหนังผีที่น่ากลัวมากๆ
คำคมจากภาพยนตร์
“I think before you die, you see the ring...” “ฉันคิดว่าก่อนคุณจะตาย คุณจะได้เห็นแหวน”
เรื่องย่อ
ราเชล เคลเลอร์ นักข่าวที่ได้มาร่วมงานศพของญาติวัยรุ่นคนหนึ่ง จนได้ข่าวลือแปลกๆ ถึงการเสียชีวิตของเธอนั้น มาจากการดูวิดีโอเทปต้องคำสาปม้วนหนึ่ง ที่ใครก็ตามที่ได้ดูนั้น จะต้องตายอย่างสยองภายใน 7 วัน เธอจึงลองออกสืบสวนหาข้อมูลจนกระทั่งไปพบกับเจ้าม้วนวิดีโอต้นเหตุนั้น และได้ดูมัน หลังจากนั้นเรื่องสยองต่างๆ ก็ได้เกิดขึ้นรอบตัว จนทำให้เธอเชื่อในสิ่งนี้ เลยต้องไปขอความช่วยเหลือจาก โนอาห์ คนรักเก่า ให้ช่วยกันสืบหาวิธีเพื่อแก้อาถรรพ์นี้ให้ได้ ก่อนที่จะสายเกินไป
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Ring นั้น เป็นหนังที่เหมาะกับคอหนังสยองขวัญมากๆ แม้ว่าคอนิยายชุดนี้จะรู้สึกว่ามันทำได้ไม่ถึงขั้นนั้นก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับก่อนว่าตัวนิยายมันขึ้นหิ้งไปแล้ว และความสยองในนิยายก็ต่างกัน จนยากที่จะให้สื่ออื่นมาเลียนแบบ บรรยากาศความสยองของตัวซาดาโกะที่ผ่านออกมาในตัวหนังสือในเรื่องราวมันก็เป็นความเฉพาตัวอย่างมาก แต่ถึงอย่างไร ฉบับนี้ก็ถือว่ามีการดัดแปลงออกมาได้ดี ทั้งพาร์ทสืบสวนและความสยอง หากใครชอบหนังสไตล์คำสาป J-Horror ที่ Hollywood เคยเอาไปดัดแปลง แบบ The Grudge หรือ Dark Water แล้ว ควรดูตำนาน The Ring สักครั้ง
- สายหนังสยองขวัญจากนิยาย
- สายหนังผีดัดแปลงจากเอเชีย
- สายหนังสืบสวนสยองขวัญ
รีวิว / สรุปเนื้อหา
The Ring หรือ Ringu นั้นเป็นนิยายอีกเรื่องที่ปลุกกระแส J-Horror ขึ้นมาได้เป็นอย่างมาก ด้วยความสยองขวัญของเรื่องราวที่เล่าถึงคำสาป และความแค้นที่ถูกถ่ายทอดลงมาในรูปแบบวิดีโอมรณะ ที่เป็นสื่อที่เข้ากับยุคสมัยนั้นเป็นอย่างดี และสร้างเอาตัวละครอย่าง ซาดาโกะ กลายมาเป็นผีประจำชาติของญี่ปุ่นที่ใครๆ ก็ต้องรู้จักกันทั้งนั้น ซึ่งในญี่ปุ่นเองก็โด่งดังจนถึงขนาดสร้างเป็นฉบับหนังขึ้นมาแล้วในปี 1998 ด้วยกระแสที่โด่งดังมาถึงฝั่งอเมริกา ก็เลยได้ผู้กำกับที่ค่อนข้างหน้าใหม่ในตอนนั้นอย่าง Gore Verbinski มาลองจับงานสยองขวัญดู ก็ปรากฏว่าเขาทำมันออกมาได้ดีเลยทีเดียว ทั้งในแง่ของการเคารพต้นฉบับของเดิม ไปจนถึงการปรับเนื้อหาบางส่วนจากเอเชียให้ดูมีความเป็นอเมริกันมากยิ่งขึ้น
เลยทำให้แม้ว่านักอ่าน หรือคอหนังสยองญี่ปุ่นบางคนที่รู้เรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้เห็นในฉบับหนังของ Hollywood ก็ต้องพบว่ามันยังสนุกด้วยรสชาติที่เปลี่ยนไป ด้วยการดำเนินเรื่องในเชิงสืบสวน ที่สอดแทรกฉากสยองขวัญเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ก็ทำให้หนังมีทั้งพาร์ทสืบสวนที่น่าติดตามมาก ว่าต้นเหตุของคำสาปแท้จริงแล้วมาจากอะไรกันแน่ ไปจนถึงคำถามที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือตัวละครผู้โชคร้ายในเรื่องเหล่านี้ จะหาวิธีแก้คำสาปนี้เพื่อให้รอดชีวิตได้อย่างไรบ้าง ซึ่งในระหว่างนี้หนังก็คงกลัวคนจะเบื่อ จึงมีการเสริมแทรกฉากสยองเข้ามาในเรื่องอยู่ตลอด ทั้งในส่วนของบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ ไปจนถึงการเห็นผีกันแบบโต้งๆ
ด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวละครหลักจากผู้ชายมาสู่ผู้หญิง อีกทั้งยังอยู่ในสถานะของแม่แล้ว ก็ช่วยเพิ่มความกดดันให้กับเรื่องราวมากขึ้น และน้อง David Dorfman เอง ก็เล่นออกมาได้หลอนดี ในฐานะเด็กที่ดูมีสัมผัสพิเศษ ในส่วนของ Naomi Watts ก็เล่นบทแม่ได้เป็นอย่างดี และมีไหวพริบ ความฉลาดพอในการเอาตัวรอด จนไม่มีอะไรให้ชวนหงุดหงิดนัก อีกทั้งยังรู้สึกว่าอยากเอาใจช่วยแทนเสียอีก ถึงแม้ว่าตัวหนังเองจะสู้นิยายต้นฉบับไม่ได้ (ซึ่งด้วยความ Masterpiece ของมันก็เข้าใจได้) แต่หนังก็ยังหาแนวทางการเล่าเรื่อง และความสยองในแบบของตัวเองออกมาได้ดี เป็นหนังสยองขวัญที่น่ากลัวเป็นอันดับต้นของฝั่งอเมริกันได้อยู่เหมือนกัน
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ในฉบับ DVD ของหนังเวอร์ชั่นอเมริกา มีกิมมิคสุดสยองมาก เมื่อคนกดเข้าไปที่ปุ่ม Look Here แล้ว มันจะพาเราเข้าไปสู่ฟีเจอร์ ที่ทำให้เราไม่สามารถควบคุมอะไรบน Remote ได้เลย โดยที่ Video แห่งความสยองก็จะเล่นของมันไป โดยที่เรากดเร่ง กดพอส หรือกลับไปที่เมนูก็ไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อกลับมาที่หน้าเมนูนั้น ก็จะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น 2 ครั้งแบบในหนัง (หลอนสุด) จากนั้นรีโมทถึงกลับมาใช้ได้อีกครั้ง
- ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นนิยายนั้นมีเนื้อหาที่ค่อนข้างมืดหม่นกว่านี้มากๆ ตัว Samara หรือในญี่ปุ่นเรียกว่า Sadako นั้น เป็นคนที่มีพลังจิต มีสองเพศในตัวคนเดียว อีกทั้งยังถูกหมอข่มขืนก่อนที่จะโยนลงบ่อให้ตายเสียอีก