American Hustle (2013)
โกงกระฉ่อนโลก
คะแนน
โกดังหนัง
รวมทีมดาราระดับ A List สู่แผนแหกนักการเมืองโดยใช้ทีมต้มตุ๋น
สู่เรื่องราวความตอแหลสุดชุลมุนของการต้มจนเปื่อยจนยากจะคาดเดา
คำคมจากภาพยนตร์
“The crazy thing about people. The more you say no, the more they want in on something.” “เรื่องบ้าๆ อย่างนึงของผู้คนก็คือ ยิ่งเราปฏิเสธพวกเขามากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งต้องมันมากเท่านั้น”
เรื่องย่อ
เออร์วิง สุดยอดนักต้มตุ๋นที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ในการทำงานประเภทนี้ ซึ่งเขาได้พบกับ ซิดนีย์ สาวคนใหม่แสนฉลาดที่เข้ามาในชีวิตและดูเข้ากับเขาดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยในเรื่องการหลอกลวง ในขณะที่ยังมี โรซาลีน ภรรยาเก่าพร้อมลูกของเขาที่มีพฤติกรรมที่คาดเดาอะไรไม่ได้ ซึ่งเออร์วิงกับซิดนีย์เองก็ดำเนินแผนการต้มตุ๋นมาโดยตลอด จนกระทั่งได้พบกับ ริชชี ดีมาโซ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ที่หวังจะเปิดเผยความโกงของนักการเมืองอย่าง คาร์มีน โพลิโต้ เขาเลยต้องอาศัยความสามารถในการต้มตุ๋น ของ เออร์วิง และซิดนีย์ให้มาเข้าร่วมกระบวนการนี้ด้วย
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ American Hustle คือหนังรวมดาราชั้นดี ที่มีพื้นที่เป็นเสมือนเวทีให้ดาราทุกๆ คนในเรื่องได้มีโอกาสมาปล่อยของ ซึ่งก็เป็นพลังในการแสดงของตัวเองกัน ประกอบกับบทพูดสุดเฉียบ ที่ดุเดือดเลือดพล่านประหนึ่งการโต้วาทีที่ไม่มีใครยอมใคร และไปอย่างรวดเร็ว จนหากไม่มีสมาธิก็อาจหลุดไปจากหนังได้ง่ายๆ ดังนั้นหากใครที่ต้องการดูหนังที่ดูมีชั้นเชิง มีบทพูดมันส์ๆ และใส่สีสันให้กับหนังอย่างเต็มที่ ในรูปแบบของหนังสายรางวัลเหมือนอย่าง The Wolf of Wall Street หรือสายตุ้มตุ๋นแบบ Catch Me If You Can แล้วนั้น American Hustle ก็คือความบันเทิงในรูปแบบเดียวกันที่ไม่น่าพลาดจริงๆ
- สายหนังเข้าชิงรางวัล
- สายหนังรวมพลังดารา
- สายหนังต้มตุ๋นหลอกลวง
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ยังคงคอนเซปเหมือนเดิมสำหรับหนังของ David O. Russell เรื่องนี้ ที่เน้นบทพูดและการฉอดของตัวละครได้ดุเด็ดเผ็ดมันส์ แม้ว่าหนังจะได้เค้าโครงจากเรื่องจริง แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีการเสริมเติมแต่งให้มีความเป็นภาพยนตร์ที่มีชีวิตชีวาได้อย่างเต็มที่ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการเอาทีมดาราระดับ A List แต่คน มายืนแสดงออร่ารัศมีรอบตัวกันตั้งแต่หน้าปกของเรื่อง ก็เหมือนเป็นการประกาศตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ว่า ฉันนี่แหละที่จะมาล่ารางวัล ในปีนั้น กับพล็อตเรื่องที่แค่ตั้งต้นก็สนุกแล้ว กับเรื่องของเอฟบีไอ ที่ต้องไปวานนักต้มตุ๋นมาเปิดโปงนักการเมืองนี้ ก็รับรองความอุรุงตุงนังของเรื่องราวอย่างแน่นอน
ด้วยความยาวของหนังที่มีถึง 2 ชั่วโมงเกือบครึ่ง ก็ทำให้มันพอมีเวลาให้เริ่มค่อยๆ เล่า และพาคนดูไปสำรวจตัวละครกันก่อน ถึงคาแรคเตอร์ของพวกเขาว่าเป็นอย่างไร ก่อนที่ปรับโหมดมุ่งหน้าไปต่อไม่รอแล้วนะ ซึ่งเป็นความหฤหรรษ์ของหนังมากๆ ที่เร่งจังหวะเรื่องได้อย่างดุเดือด ดุดัน และเต็มไปด้วยบทสนทนาของตัวละครสุดเฉียบคม อันว่าด้วยเรื่องของคำจริง คำลวง ที่แต่ละตัวละครนั้นก็เป็นสีเทาๆ จนไม่สามารถเรียกหาความเป็นคนดี หรือความถูกต้องได้จากพวกเขาเลย ยิ่งพอผนวกกับการแสดงแล้วก็ทำให้แค่การพูดคุยกันก็ออกมามีพลังอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการขโมยซีนสุดเฉียบของดาราสาวอย่าง Jennifer Lawrence ที่รับบททั้งเกินตัว และเกินเบอร์ไปมาก แต่เธอก็ยังสามารถควบคุมทุกอย่าง และตามติดไปกับโทนการแสดงของบรรดารุ่นพี่ได้อย่างน่าชื่นชมในทุกครั้งที่เธอปรากฏตัวเข้ามาในฉาก ทำให้เมื่อยำทุกองค์ประกอบเข้าหากัน มันเลยเสริมให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นสุดยอดหนังต้มตุ๋น ลวงหลอก อีกเรื่อง ที่กระเทาะเปลือกมนุษย์ในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ ด้วยคำลวงได้เป็นอย่างดี และความโดดเด่นในพาร์ของดาราและการแสดงเป็นอย่างยิ่ง
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ไม่ใช่แค่เพียงคนดูเองที่จำ Christian Bale ในมาดชายหัวล้านลงพุงไม่ได้ในตอนแรก เพราะแม้แต่ดาราอย่าง Robert De Niro เอง ก็จำ Christian Bale ตอนที่เจอะไม่ได้เหมือนกัน แม้ว่าจะได้ทักทายกันแล้ว จนเขาต้องดึงผู้กำกับอย่าง Russell ออกมาถามว่า นั่นมันใคร (วะ) เมื่อเฉลยแล้วก็ทำให้ลุง Niro ถึงกับตกใจไม่น้อยกับสภาพที่เปลี่ยนไปขนาดนี้
- ตัวละคร Carmine Polito ที่รับบทโดย Jeremy Renner นั้น อ้างอิงมาจากชีวิตจริงของนายกเทศบาลเมือง Camden ที่โดนข้อหาฉ้อโกงและติดสินบนจริงๆ จนติดคุกอยู่ถึง 3 ปี โดยเขาเสียชีวิตตอนอายุ 84 ไม่กี่เดือนก่อนที่หลังเรื่องนี้เริ่มฉาย
- แม้หนังจะเดินหน้าเข้าชิงรางวัลออสการ์อย่างบ้าคลั่งถึง 10 รางวัล ตามสไตล์ผู้กำกับลูกรัก แต่สุดท้ายก็กลับมาบ้านมือเปล่าอย่างน่าเสียดาย ในขณะที่บนเวทีลูกโลกทองคำ กลับได้ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาครองในสาขา ตลกหรือเพลง รวมถึงยังส่งสองสาวจากหนังทั้ง Amy Adams และ Jenifer Lawrence คว้ารางวัลนำหญิง และสมทบหญิงมาทั้งคู่เลย