Babylon (2022)
บาบิลอน
คะแนน
โกดังหนัง
จดหมายรักถึงวงการมายาเครื่องสะท้อนโลกความเป็นจริง ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนดังได้ก็ดับได้ เป็นงานที่อัดแน่นความบันเทิง คอหนังตัวจริงไม่ควรพลาดเด็ดขาด
หมวดหมู่ : | Drama |
สัญชาติ : | American |
กำกับโดย : | Damien Chazelle |
ความยาว : | 3 ชั่วโมง 8 นาที |
นักแสดงนำ : | Margot Robbie, Brad Pitt, Diego Calva |
คำคมจากภาพยนตร์
"No one will ever love you but her, and she's only in your head okay?"
"จำไว้ว่าคุณทั้งเศร้าและโดดเดี่ยว ไม่มีใครรักคุณนอกจากเธอและเธออยู่ในหัวคุณเท่านั้น"
เรื่องย่อ
จุดเปลี่ยนแวดวง Hollywood ในช่วงทศวรรษ 1920 ที่คับคั่งไปด้วยแสงสีและความบ้าคลั่ง ควบคู่ไปกับการฉายภาพให้เราเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของวงการจากภาพยนตร์เงียบสู่ภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม ผ่านมุมมองของตัวละครหลักอย่าง Nellie LaRoy นักแสดงหญิงโนเนมผู้พยายามหาบทบาทสำคัญที่จะส่งให้ชื่อของเธอโด่งดัง ควบคู่ไปกับการข้ามผ่านปัญหาอันหนักหนาสาหัสที่ประดังเข้ามาไม่หยุด, Jack Conrad นักแสดงชื่อดังจากภาพยนตร์ไม่มีเสียงที่กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เมื่อการเข้ามาของหนังแบบฟิล์ม ทำให้เขากลายเป็นดาราที่กำลังรอวันตกกระป๋อง และ Manny Torres หนุ่มชนชั้นแรงงานจากเม็กซิกันนักล่าฝันหนุ่มผู้พยายามทำทุกอย่างเพื่อขอเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภาพยนตร์
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Babylon จัดเป็นหนังดราม่าที่เหมาะสำหรับแฟนๆสายรางวัลกลุ่มที่ชอบเสียงเพลงดนตรีหรือสายมายาโดยเฉพาะตัวหนังไม่ได้ดูยากเย็นอะไร พูดถึงยุคเปลี่ยนถ่ายวงการ Hollywood ที่ Tribute วงการภาพยนตร์ที่เบื้องหน้าสวยหรูแต่ข้างในไม่ได้ขาวสะอาดมีจุดบอดเยอะแยะเต็มไปหมด บทหนังถ่ายทอดออกมาผ่านเรื่องราวที่เป็นทั้งความรักความฝันความเป็นจริงที่มีกลิ่นอายดนตรีแบบแจ๊สจะได้ลิ้มรสชาติที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร หนังขับเคลื่อนไปอย่างสุนทรีย์ทุกอย่างไหลลื่นไปหมด เราคิดว่าคนชอบหนังเพลง ชอบความคลาสสิกน่าจะรักผลงานเรื่องนี้
- สายหนังรางวัล
- สายหนังมิวสิคัล
- สายหนังที่ชอบความ Classic
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ถ้าจะบอกว่านี่คือ La La Land เวอร์ชั่นที่ดาร์คเวอร์ชั่นเมายาก็คงไม่ผิดแปลกสักเท่าไหร่ หนังเรื่องนี้เข้าขั้นคุณภาพ แม้ว่าคำวิจารณ์และรายได้ของหนังจะสวนทางกับเป็นจริง จะว่าไปปัญหาหลักที่ทำให้คนไม่อินกับเนื้อหาหนังไม่ใช่ว่าพล็อตเรื่องไม่ดี แต่มันคือเรื่องของเวลา 3 ชั่วโมง ที่ตรึงคนดูไม่อยู่ ยิ่งถ้าไม่ใช่งานแอ็คชั่นหนังแบบนี้ยากที่จะ Connect กับผู้ชม หนังของ Damien Chazelle หัวใจหลักอยู่ที่เขานำเสนอผ่านผลงานที่เป็นลายเซนต์คือเรื่องของตัวละครที่หมกหมุ่นกับความฝันและเป้าหมายเพื่อให้ได้กับคำว่าสมบูรณ์แบบ อย่างใน Whiplash มือกลองหนุ่มที่ไม่มีความมุ่งมั่นอะไรสักอย่าง ฝันแต่ไม่ลงมือทำ เลยเจอครูกระตุ้นจนออกมาสู้เพื่อเป็นมือกลองคุณภาพ, La La Land ชายหนุ่มหญิงสาวที่ฝันอยากจะประสบความสำเร็จ แต่เมื่อพวกเขามีเส้นทางที่ไม่เหมือนกัน เขายอมทิ้งชีวิตคู่เพื่อสานฝันตัวเองไปให้ถึงเป้าหมาย First Man คือการเตรียมตัวอย่างหนัดเพื่อพร้อมสำหรับการเป็นนักบินอวกาศใน Babylon ก็ยังพูดถึงคนทำหนัง คนมีฝันโปรเจ็คที่ต้องกลั่นกรองเรื่องราวที่ยากเย็น 1 ฉาก 1 ไดอาล็อค 1 ซีน ที่ผิดพลาดเล็กๆน้อยก็ต้องถ่ายทำใหม่ปล่อยผ่านไม่ได้เลย หนังเป็นศิลปะที่ใช้เวลาทำนานมาก ไหนจะเป็นเรื่องการคิดบท, การวางตัวนักแสดง โลเคชั่น ลำดับภาพ ลำดับเรื่องราว สิ่งที่ผู้กำกับใส่ลงไปกระบวนการให้คนดูได้เห็นว่าภาพยนตร์ 1 เรื่องไม่ใช่ใครทำก็ได้ แต่มันต้องใส่ใจลงมือทำ คิดทุกอย่างให้ละเอียด เพื่อมอบความบันเทิงสู่คนดู
3 ตัวละครที่ผู้กำกับเล่าเรื่อง คือการบ่งบอกถึงยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านของวงการพวกเขามีความฝันอยากอยู่ในแวดวงบันเทิงกอบโกยมันให้นานที่สุด อย่าง Manny คือคนชนชั้นแรงทำงานทุกอย่างเป็นคนเก็บกวาด เขาได้เห็นแง่มุมที่แย่ๆเลวร้ายของนักแสดง ความไม่มืออาชีพ ความห่วยแตก แต่อย่างว่าละไม่มีอะไรตายตัวเพราะแวดวงบันเทิงฉากหน้าสวยเบื้องหลังเลวร้ายใช่เล่น ในวงการเขาเลือกจะไม่มองมันและเลือกที่ต่อสู้เพื่อจะไต่เต้าไปในที่ๆสูงให้ได้ จังหวะการเล่าเรื่องของหนังมันบันเทิงมากๆ เพราะสิ่งที่เนื้อหาบอกผู้ชมคือวงการนี้ใครเข้ามาทุกคนย่อมอยากได้เงินอยากมีชื่อเสียงมันก็ต้องแลกมาพร้อมกับอันตรายแบบที่คาดไม่ถึง มันคือการสำรวจด้านมืดวงการมายาไม่ได้ดีเด่นอะไร เมื่อมีนักแสดงเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา ไม่มีใครเป็นดาวค้างฟ้าไปตลอดกาล ชื่อเสียงคนหลงระเริงจนไม่ได้วางแผนคิดตั้งตัวให้ทัน และสุดท้ายระบบสังคมวงการบันเทิงก็ค่อยๆผลักไส 3 ตัวละครออกไปจากดินแดนแห่งความฝันในเวลาไล่เลี่ยกัน เพราะหนังเรื่องนี้แอบเสียดสีความโหดร้ายวงการภาพยนตร์ในยุคนั้นได้แบบเฉียบขาด ไอเดียและแพชชั่นของผู้กำกับมาแบบแรงกล้า แม้มันจะไม่ได้มีความสดใหม่ประเด็นการเล่าเรื่อง ไม่มีอะไรที่สวยงามแค่เปลือกนอกทุกที่มีดำและขาวเสมอ หนังจึงเป็นเสมือนจดหมายรักและเครื่องเตือนสติคนในวงการหนังไม่ให้หลงทางและเลือกเส้นทางที่ผิด
โปรดักชั่นหนังเป็นอะไรที่อลังการงานสร้างมาก งานศิลป์ของทีมงานชุดนี้องค์ประกอบภาพ การตัดต่อ ฉากหลังอลังการ คือไฮไลท์สำคัญที่ทำให้ได้เข้าชิงออสการ์เพราะทีมงานเก็บรายละเอียดในยุค 1920 นำเสนอออกมาได้โคตรปัง ได้เห็นการทำงานสร้างภาพยนตร์ที่ยากลำบากแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเยอะแยะเต็มไปหมด ทีมงานต้องปรับตัวตลอดเวลา โอเคละมันเป็นเรื่องสนุกของผู้ชมแต่ยุคนั้นได้ท่องโลกภาพยนตร์ยุคก่อน ได้ศึกษาทำความเข้าใจเรื่องราวที่คนเบื้องหลังคิดออกมาเป็นงานศิลปะ การเล่าเรื่องของหนังแม่งสุดยอด ไหนจะเป็นเรื่องของซาวด์ประกอบที่ร้อยเรียงในแต่ละฉากได้จัดจ้านของ Justin Hurwitz นักประพันธ์เพลงคู่บุญของ Damien Chazelle เอาแค่เพลง Voodoo Mama กลิ่นอายเพลง Jazz ที่บันเทิงมากๆ นึกภาพฉากพี้ยาของนักแสดงในเรื่องทันที มันทำให้เราได้เห็นความบ้าคลั่ง ความเห็นแก่ตัวของคนบันเทิงในยุคนั้น นี่ยังไม่รวมถึงการแสดงของดาราดัง ไม่ว่าจะเป็น Margot Robbie ที่ทุ่มสุดตัวทั้งพลังไปแบบเต็มที่ การอินไปกับตัวละครหญิงสาวที่มีฝันหลงระเริงไปกับสปอร์ตไลท์และยืนหยัดในวงการไม่ได้ หรือจะเป็น Brad Pitt ชายที่ไม่ยอมรับในการเปลี่ยนแปลงของวงการ, Diego Calva นักแสดงหน้าใหม่ที่เป็นตัวแทนของคนที่อยากดิ้นรนไปอยู่ข้างบน
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Margot Robbie ฉวยโอกาสจูบปาก Brad Pitt ทั้งที่ไม่มีอยู่ในบทหนัง
- Damien Chazelle ใช้เวลาพัฒนาบทหนังเรื่องนี้ยาวนาน 15 ปี
- หนังต้องทำเงิน 250 ล้านเหรียญ ถึงจะไม่คาดทุน แต่หนังทำเงินไปเพียง $63.4 ล้านเหรียญเท่านั้น