จาก Forrest Gump สู่ Laal SIingh Chaddha ทำไมถึงเป็นหนังอมตะข้ามยุคสมัยมานาน
เชื่อว่าสำหรับคอหนังหลายๆ คนนั้นน่าจะต้องรู้จักหนังเรื่อง Forrest Gump - อัจฉริยะปัญญานิ่ม กันเป็นอย่างดี และน่าจะเคยดูกันมาไม่ต่ำกว่า 1 รอบ กับเรื่องราวของ ฟอเรสท์ กัมพ์ ชายที่เกิดมาพร้อมกับไอคิวต่ำ แต่ในช่วงชีวิตของเขากลับได้เดินทางเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงครามเวียดนาม ภารกิจพิชิตดวงจันทร์ และได้ทำในทุกสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะทำได้ จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนได้มากมาย
ซึ่งแม้ว่าเวลาจะไป 20 กว่าปี แต่หนังก็ยังคงความคลาสสิค ข้ามผ่านกาลเวลา มาจนถึงทุกวันนี้ เพราะคนที่เพิ่งมาดูหนัง หรือเป็นคอหนัง ก็มักจะเคยได้ยิน แล้วตามหากันมาดูตลอด และเมื่อดูแล้วฟีลกู้ด อิ่มเอมใจ ก็พร้อมจะบอกต่อกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงปีนี้ที่มีหนังชื่อว่า Laal Slingh Chaddha ที่เป็นการนำ Forrest Gump มารีเมคอีกครั้งในฉบับอินเดีย โดยได้ดาราที่แทบจะดังอันดับต้นๆ ของประเทศเขาอย่าง อาเมียร์ ข่าน มารับบท กัมพ์ ที่จะเข้าฉาย 1 ก.ย. นี้ เราเลยอยากจะพาไปย้อนรอยสักหน่อย ว่าทำไม Forrest Gump ถึงเป็นอมตะ จนถึงขนาดมารีเมคอีกครั้งในยุคนี้
หนังที่แทบจะมีรางวัล การันตีในทุกด้าน
ในปี 1995 ในยุคที่หนังออสการ์มีความหลากหลายแนว ไม่ได้เน้นเรื่อง Diversity เหมือนอย่างในทุกวันนี้ ก็มี Forrest Gump นี่แหละ ที่คว้ารางวัลบนเวทีออสการ์มาได้ถึง 6 รางวัล แถมยังเป็นรางวัลใหญ่ๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของปี ผู้กำกับยอดเยี่ยม มีดารานำชายอย่าง Tom Hanks แถมยังมีสาขาอย่าง Best Effects มาครองได้อีก จนคนก็สงสัยเข้าไปอีกว่าหนังดราม่าแบบนี้ มันต้องมี Effect อะไรกันด้วยหรอ
ซึ่งหนังในปีนั้นก็มีคู่แข่งสายแข็งอย่าง Pulp Fiction และ Shawshank Redemption (ที่คนอาจจะยังไม่เห็นคุณค่าในตอนนั้น) ด้วย ในฉบับ Laal Slingh Chaddha ก็นับว่าเป็นอีกการรีเมคที่น่าจับตา เพราะ อาเมียร์ ข่าน ก็น่าจะเป็นดาราสายคุณภาพอีกคนของอินเดีย ที่เหมาะสมกับบทมากๆ รวมถึงหนังหยิบบทที่ดีอยู่แล้ว ไปปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทความเป็นอินเดียได้มากขึ้นแล้ว ก็น่าจะออกมาดีได้ไม่แพ้กันเลย
ฟีลกู้ดส่งพลังบวก และการมองโลกในแง่ดี
สิ่งหนึ่งที่ Forrest Gump มันส่งต่อให้กับคนดูตลอดทั้งเรื่อง ก็คงไม่พ้นพลังงานบวก และการมองโลกในแง่ดี เพราะแค่ประโยคในฉากแรกที่ว่า “Life was like a box of chocolates. You never know what you’re gonna get.” หรือแบบง่ายๆ ว่า “ชีวิตเราก็เหมือนกล่องช็อคโกแลต” ที่เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีช็อคโกแลตแบบไหนข้างในบ้าง ซึ่งก็เปรียบเสมือนชีวิตของคนเราจริงๆ ที่ไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะรออยู่ในภายภาคหน้า เราก็มีหน้าที่แค่พร้อมรับและใช้ชีวิตต่อไปตามที่มันเป็น
อีกทั้งการใช้ตัวละครที่มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตเยอะ อย่างกัมพ์ที่เป็นคนที่ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็กแต่เขาก็ทลายข้อจำกัดด้วยการออกวิ่งได้ การที่เขาไอคิวต่ำ แต่กลับไปรบและช่วยเพื่อนทหารของเขาเอาไว้ได้ ทุกอย่างมันคือการทลายข้อจำกัดในตัวเองแทบทั้งนั้น ซึ่งพลังงานนี้แหละที่จะทำให้เราสามารถผ่านไปได้ทุกปัญหาในชีวิต แม้ว่าจะมีข้อจำกัดอยู่ก็ตาม และเราก็เชื่อว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่จะได้เห็นในฉบับ Remake อย่างแน่นอน
ยำประวัติศาสตร์อเมริกา หลายเหตุการณ์สำคัญในเรื่องเดียว
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า อย่าไปยึดติดกับประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทอดในหนังมาก เพราะ Forest Gump ก็คือ Fiction เรื่องหนึ่ง ที่ไม่ได้ Based on True Story แต่อย่างใด เพียงแต่ตัวหนังได้หยิบเอาประวัติศาสตร์ของอเมริกาในบางช่วงมาใช้ประโยชน์ เพื่อเป็นฉากหลังของเรื่องราว และการได้เห็น Forrest Gump ไปอยู่ในนั้นก็ช่างเป็นอะไรที่บันเทิงเหลือเกิน
ซึ่งเรื่องราวก็ของกัมพ์ ก็ยิงยาวมาตั้งแต่ยุค 60s ยัน 90s ที่ผ่านมาทั้งช่วงสงครามเวียดนาม มีเหตุการณ์สังหารเคเนดี้ คดีวอเทอร์เกท แก๊งฮิปปี้ การชุมนุมของคนผิวสี นอกจากนี้เรายังจะได้เห็นเหล่าศิลปินที่เสียชีวิตไปแล้วอย่าง Elvis Presley และ John Lennon ด้วย ซึ่งในฉบับของอินเดียนั้น รับรองว่าน่าจะได้เห็นบริบท และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไป และการมี Background เป็นอินเดียแล้วก็น่าจะเป็นอีกเสน่ห์ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างจากต้นฉบับอยู่มากๆ เลย
งาน CG ล้ำสมัย จนมีหลายฉากที่น่าจดจำ
สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู แล้วพอเห็นเรื่องย่อกับปกหนังแล้ว ก็คงประหลาดใจไม่น้อยว่าหนังได้รางวัลออสการ์สาขา Visual Effect ยอดเยี่ยมมาได้ยังไง เพราะฟังดูแล้วก็น่าจะเป็นหนังดราม่าชีวิตคนแท้ๆ ทำไมถึงได้รางวัลนี้มาได้ แต่เมื่อดูแล้วก็จะอ๋อในทันที เพราะด้วยความที่หนังโยน กัมพ์ เข้าไปในประวัติศาสตร์นี่แหละ มันเลยมีฉากต่างๆ ที่ต้องอาศัย CG เป็นอย่างมาก เพื่อให้ กัมพ์ กลมกลืนไปกับประวัติศาสตร์มากที่สุด
แถม CG ก็ไม่ได้ใส่มางั้นๆ แต่มันยังน่าจดจำมากด้วย อย่างฉากดวลปิงปองเพื่อกระชับมิตรกับจีน ก็เป็นอะไรที่ว้าวมากๆ ส่วนฉากในสงครามก็ทำออกมาได้ดีอย่างกับดูหนังแนวสงครามอยู่ หรือแม้แต่เพื่อนของ กัมพ์ เอง ที่พิการ ก็ทำได้เนียนตาสุดๆ ยังไม่รวมเหล่าบรรดาบุคคลจริงในประวัติศาสตร์ ที่โผล่กันออกมาอย่างกับเป็นตัวจริง จนไม่แปลกนักที่มันจะเป็นจุดเด่นมากๆ อีกอย่างของหนังเลย
เรียบง่ายดีงาม แฝงไปด้วยข้อคิดเพียบ
สิ่งสำคัญเลยที่ทำให้คนหลงรัก Forrest Gump กันมากๆ คงเป็นความเรียบง่ายของมันนี่ล่ะ ในขณะที่หนังรางวัลหลายเรื่อง อยู่ในขั้นที่ต้องปีนบันไดดู มีความยาก มีภาษาหนัง ต้องตีความต่างๆ นานา แต่ Forrest Gump นั้น ทดแทนด้วยความเรียบง่าย จริงใจ ซื่อๆ เหมือนอย่างตัวกัมพ์เอง ทำให้คนดูต่อติดได้ง่าย ไม่ต้องทำความเข้าใจเยอะ
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หนังกลวงแต่อย่างใด เพราะตลอดเรื่องมันก็ได้สอดแทรกแง่คิดเอาไว้ตลอด ทั้งประเด็นเรื่องการใช้ชีวิตของเขา เรื่องความรักที่เกิดขึ้น สิ่งที่แม่ของเขาสอน ผู้คนที่เขาพบรายทางของการใช้ชีวิต ล้วนแล้วแต่ให้อะไรบางอย่างแก่ กัมพ์ และคนดูไปพร้อมๆ กัน มันเลยไม่เพียงแต่เป็นการเดินทางของชีวิตของชายคนหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำให้เราได้เรียนรู้ และเข้าใจเรื่องของชีวิตเข้าไปด้วยในเวลาเดียวกัน