Fantastic Beasts: The Secrets Of Dumbledore (2022)

สัตว์มหัศจรรย์ ความลับของดัมเบิลดอร์

Fantastic Beasts: The Secrets Of Dumbledore Poster
7.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

กลบจุดบอดจาก 2 ภาคแรกไปหมด สนุกตื่นเต้นมากดูเพลินๆกว่าที่คิด การออกแบบงานสร้างทำให้องค์ประกอบทุกอย่างดูหวือหวา ฉากแอ็คชั่น ปูมหลังตัวละคร หนังดึงกลิ่นอายความเป็น Harry Potter กลับมา นี่แหละสิ่งที่แฟนๆโลกเวทมนต์รอคอย ฟินแน่ๆ

หมวดหมู่ : Fantasy Sci-Fi
สัญชาติ : British
กำกับโดย : David Yates
ความยาว : 2 ชั่วโมง 23 นาที
นักแสดงนำ : Eddie Redmayne, Mads Mikkelsen, Jude Law

คำคมจากภาพยนตร์

"We Can Try To Make Things Right. That's What Matters."
"เราสามารถพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องได้ นั่นคือสิ่งที่สำคัญ"

เรื่องย่อ

ศาสตราจารย์ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ รู้ว่าพ่อมดศาสตร์มืด เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ เริ่มเดินแผนการหวังปกครองโลกเวทมนตร์ด้วยตัวเอง แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดอดีตเพื่อนรักได้ด้วยตัวคนเดียว เขาจึงมอบหมายให้ศิษย์รักนักสัตว์วิเศษวิทยา นิวท์ สคามันเดอ นำทัพเหล่าพ่อมด-แม่มด รวมถึงมักเกิลนักทำเบเกอรี่ผู้กล้าหาญเผชิญหน้ากับภารกิจเสี่ยงอันตราย ที่พวกเขาต้องต่อสู้กับสัตว์วิเศษทั้งเก่าและใหม่ รวมถึงกองทัพผู้ติดตาม กรินเดลวัลด์ ในสถานการณ์ที่ต้องเดิมพันสูงเช่นนี้ ดัมเบิลดอร์ จะสามารถดึงตัวเพื่อนรักของเขากลับมาได้หรือไม่?

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore เป็นหนังที่แฟนเดนตายของ Harry Potter ไม่ควรพลาด หนังสามารถแก้ตัวจาก 2 ภาคที่แล้วได้ดี เวลา 3 ปีที่หายไปการสร้างสรรค์เนื้อหา พล็อตเรื่องให้มีความ Smooth มากกว่าเดิม เอนจอยกับผู้ชม หนังมีความสนุกเน้นฉากแอ็คชั่นแล้วเขื่อมโยงกับปูมหลังตัวละคร ทำให้การดำเนินเรื่องไม่ไหลลื่น คอหนังแฟนตาซีจะเต็มอิ่มไปกับ แม้ว่าบางช่วงบางตอนจะดูเล่าเรื่องช้าไป แต่การปรับโทนเรื่องให้กลับไปใกล้เคียงกับบรรยากาศหนัง Harry Potter   ก็เซอร์วิสแฟนได้มากมายแล้ว ต่อให้เป็นแฟนหนังขาจรก็ดูเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

  • สายหนังครอบครัว
  • สายหนัง Harry Potter
  • สายหนังที่ชอบโลกเวทมนตร์

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ต่อให้ไม่ใช่แฟนพันธ์ุแท้หนังเรื่องนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า อิทธิพลหนังแฟนตาซีพ่อมดแม่มด Harry Potter มี Impact ต่อหนังภาคนี้ค่อนมาก หลังจากฟีดแบ็คที่ล้มเหลวจากภาคที่แล้ว ทำให้หนังภาคนี้ดูจะมีเวลาการสร้างสรรค์เนื้อหาให้พิถีพิถันมากที่สุด บทหนังไม่ได้เล่าแบบยืดยาวมีแต่น้ำ แต่เนื้อน้อยแบบภาคก่อน จุดนี้กลบจุดบอดทิ้งไปทันที หนังเกริ่นนำที่ตัว นิวท์ สคามันเดอ จากนั้นก็นำพาเรื่องราวไปได้สนุก สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้สอบผ่านคือการมีกลิ่นอายความเป็น Harry Potter เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการให้น้ำหนัก ดัมเบิลดอร์ ได้เห็นความสัมพันธ์ของเขา และคนในครอบครัว ลูกศิษย์อย่าง นิวท์ ไปจนถึงตัวต้นที่แท้จริงและความสัมพันธ์แบบเพื่อนรักของ กรินเดลวัลด์ หนังมีความเป็นภาพยนตร์มากกว่า 2 ภาคก่อนมาก การนำพาเรื่องราวกลับมายัง Hogwarts ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แฟนๆ Harry ได้ร้องกรี๊ดกันพอสมควร เลยรู้สึกว่าทีมงานพยายามเต็มที่ในการกลับไปสู่รากเหง้าของหนังอย่างที่ควรจะเป็น

บทหนังคาดเดาง่ายมาก เมื่อ กรินเดลวัลด์ ถือแต้มต่อรวบรวมผู้คนหวังจะเป็นใหญ่และเปิดฉากทำสงครามกับผู้คนในโลกมักเกิล เขาทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ชัยชนะและเป็นใหญ่ ฉากหลังเลยมีเกมส์การเมืองเข้ามาอยู่ในเรื่อง จากผู้ร้าย พ่อมดที่โดนตั้งค่าหัว กลายเป็นผู้มีอิทธิพลวางหมากปั้นป่วน นิวท์ สคามันเดอ หนังพยายามไม่ใส่จุดบอดจาก 2 ภาคก่อน ปล่อยให้เนื้อหาไหลไปเรื่อยๆ หนังจึงโฟกัสไปที่ตัวละคร 3-4 คนได้ดี ไม่ได้แพนกล้องไปที่คนใด เราจึงได้เห็นตัวต้นของ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ทำไมเขาถึงไม่ค่อยจะเปิดเกมส์ใส่เพื่ออย่าง กรินเดลวัลด์ ที่แม้จะมีทัศนคติต่างกันสุดขั้ว แต่เลือกจะไม่ทำร้ายกัน ถือว่าหนังเล่าเรื่องได้ดีไม่ได้ไปอิงแค่ สคามันเดอ แบบที่ผ่านๆมา ที่สำคัญคือการพยายามเติมเต็มอีสเตอร์เอ้กจาก Harry Potter เข้าไปด้วย เนื้อหามันเลยดูดี พยายามยัดไอเดียที่คิดออกใส่ลงไปเท่าที่จะเป็นไปได้ ดูแล้วไม่น่าหงุดหงิด ฉากแอ็คชั่น ฉากเอาตัวรอด ฉากผจญภัยมีมาอย่างต่อเนื่อง สัตว์วิเศษที่อยู่ในเรื่องก็สร้างเสียงฮือฮาได้มากๆ เรียกว่าทำออกมาได้กลมกล่อม

ในพาร์ทของการแสดงไฮไลท์หลักๆคงอยู่ที่การมาของ แมดส์ มิคเคลสัน ที่มาแทนที่ จอห์นนี่ เด็ปป์ ในช่วงแรกมีเสียงครหา แต่ในที่สุดแล้ว เมื่อหนังปล่อยตัวอย่างออกมา หรือมาดูแบบเวอร์ชั่นเต็มๆ ดาราชาวเดนิช พิสูจน์คุณภาพได้เลยว่า เขาเป็นตัวจริง การสร้างคาแรกเตอร์กรินเดลวัลด์ ให้มาด้วยบุคลิกที่แต่งตัวดูดีใส่สูท ดูน่าเกรงขาม เป็นการเลือกคนมาแทนที่ได้ไม่มีผิด บทเดียวกันแต่คาแรกเตอร์ออร่าที่สื่อสารออกมาต่างกันสุดขั้ว ยิ่งการเผชิญหน้ากับ จู๊ด ลอว์ เลยดูสนุกมีน้ำมีเนื้อ เพราะวายร้ายอย่าง กรินเดลวัลด์ คือคนคุมเกมมีปมในใจเขาไม่มีอะไรจะเสีย ยิ่งได้คมที่เล่นบทร้ายมาตลอด ยิ่งตีความให้หนังคาดเดาไม่ได้ว่าพ่อมดตัวแสบจะเตรียมแผนการอะไรบ้าง ด้าน จู๊ด ลอว์ บุรุษหล่ออมตะ ภาคนี้เราได้เห็นคาแรกเตอร์จริงๆ หลังจากก่อนหน้านี้เป็นเหมือนดาราสมทบ เขาสามารถแบกเรื่องราวได้เยอะมาก เป็นเสมือนครูให้ นิว แก้ปัญหา และช่วยแก้ไขสถานการณ์ในแต่ละฉากดีมากๆ ยิ่งซีนต่อสู้กันกับกรินเดลวัลด์ นี่แหละไฮไลท์เลยด้านพระเอกอย่าง เอ็ดดี้ เรย์แมน บุคลิกซื่อๆเรื่องนี้เหมือนเป็นคนรวบรวมทีมเพื่อมาหยุดยั้งกรินเดลวัลด์ มีฉากฮาๆของเขาให้ดูเพียบไม่อยากพูดเยอะเดี่ยวจะสปอยล์

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ฉาก Bhutan ในเรื่องจริงๆแล้วไปถ่ายทำที่ Brazil
  • หนังใช้โลเคชั่นในเยอรมันเกิน 70 เปอร์เซนต์
  • แฟนหนังในต่างประเทศมากมายตั้งคำถามว่า Claudia Kim หายไปไหนในหนังภาคนี้
  • Johnny Depp ถ่ายทำหนังไปเพียงแค่ฉากเดียว ก่อนจะโดนบีบจาก Warner ให้ถอนตัว หลังมีคดีความกับอดีตภรรยา Amber Heard
  • Johnny Depp ได้ค่าตัว $10 ล้าน จากการแสดงแค่ฉากเดียว
  • Mads Mikkelsen มาเล่นบท Grindelwald เพราะชอบงานเขียนของ JK Rowling