5 เหตุผลทำไมถึงต้องดู The Godfather ฉบับครบรอบ 50 ปีที่เอามาฉายใหม่
The Godfather นับเป็นอีกตำนานของโลกภาพยนตร์อีกเรื่อง ที่กาลเวลาทำอะไรมันแทบไม่ได้เลยจริงๆ แม้ว่าตอนนี้จะผ่านมากว่า 50 ปีแล้ว แต่เชื่อว่าคอหนังหลายๆ คนที่เกิดไม่ทัน ก็ยังหาหนังเรื่องนี้มาดูกันอยู่ เพื่อพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ข้ามเวลาของมัน ว่ามันดีขนาดนั้นจริงๆ หรอ ก่อนที่จะพบว่าตัวเองก็กลายเป็นแฟนหนังชุดนี้เพิ่มไปอีกคน จนปีนี้ก็นับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่ยังไม่เคยดู The Godfather หรือเกิดไม่ทันที่จะดูมันในโรงภาพยนตร์ เพราะในโอกาสครบรอบ 50 ปีของหนัง มันก็ได้กลับมาฉายในโรงภาพยนตร์กันอีกครั้ง ด้วยการ Remastered ออกมาเป็นระบบ 4K Ultra HD และผ่านความละเมียดละไมในการเลือกเฟรมที่มีคุณภาพดีที่สุดของภาพยนตร์มาใช้
โดย The Godfather เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอเมริกาช่วงปี 1945 ที่มีครอบครัวมาเฟียเชื้อสายอิตาลีตระกูลคอร์เลโอเน ที่พยายามสร้างฐานอำนาจขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ โดยมี ดอน วีโต คอร์เลโอเน เป็นเจ้าพ่อคนใหญ่ของบ้าน ภายใต้ฉายา The Godfather ซึ่งการดำรงตำแหน่งนี้ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะเขาต้องเผชิญกับความท้าทายจากทุกด้าน รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวตัวเอง จนทำให้เขาต้องพยายามควบคุมอำนาจที่มีอยู่ในมือให้ได้
เอาเป็นว่าครบรอบ 50 ปีทั้งทีแบบนี้ The Godfather ก็นับเป็นหนังอีกเรื่องที่ทางโกดังหนังอยากจะแนะนำให้มีโอกาสได้ดูกันในโรงภาพยนตร์มากๆ และไม่อยากให้พลาดกันเลยจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าโอกาสแบบนี้จะมีอีกทีเมื่อไรแล้ว วันนี้เลยอยากมาเชียร์กันหน่อยว่า 5 เหตุผลทำไม The Godfather ถึงเป็นหนังที่อยากให้ดูกันจริงๆ ใครสนใจไปชมในโรงภาพยนตร์กันได้ 24 กุมภาพันธ์นี้
พล็อตเรื่องสุดเจ๋ง และอีกหลายซับพล็อตเพียบ
The Godfather คือหนังที่สร้างจากนิยายในชื่อเดียวกันของ มาริโอ พูโซ ที่ออกมาในช่วงปี 1969 ก่อนที่ผู้กำกับ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา นั้นจะมาร่วมมือกับพูโซ ในการเขียนบทภาพยนตร์นี้ขึ้นมา โดยตัวหนังวางบทและหมากการเล่าเรื่องได้ดีมากๆ จากการพยายามพาเราไปสำรวจครอบครัวมาเฟีย วิธีการทำงานอะไรต่างๆ ของพวกเขา ผ่านทางตัวละครมากมายในวนเวียนอยู่กับคนในตระกูล
ทำให้ตัวพล็อตหลักของหนังก็มีความน่าติดตามกับสิ่งที่ตัวละครต้องเผชิญ อีกทั้งตัวละครอื่นๆ ในเรื่องอย่างบรรดาลูกๆ ของ ดอน คอร์เลโอเน ก็ดูเหมือนจะมีเส้นเรื่องของตัวเองอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ งานแต่งลูกสาว, การพัฒนาของตัวละครลูกชายคนเล็ก ไมเคิล คอร์เลโอเน ที่มาเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของเรื่องราว เรื่องของธุรกิจในครอบครัว และอีกมากมายที่ทำให้ตลอดความยาวกว่า 3 ชั่วโมงของหนังจึงเต็มไปด้วยเหตุการณ์ต่อเนื่องที่น่าติดตาม และเดินหน้าตลอดเวลาอย่างน่าสนใจ
เรียนรู้ประวัติศาสตร์ช่วงปี 1945-1955
หากเทียบกับหนังมาเฟียอีกเรื่องในตำนานอย่าง Goodfellas แล้ว Goodfellas อาจะถูกพูดถึงในแง่ที่มันสร้างมาจากเรื่องจริง มากกว่า The Godfather ที่เป็นเรื่องแต่งและมาจากนิยายของ มาริโอ พูโซ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันคือเรื่องแต่งที่ทำการบ้านมาอย่างดี ผ่านการร่วมกันเขียนบทของ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา และมาริโอ พูโซ ที่แม้ว่าจะเป็นสร้างตัวละครใหม่ๆ ขึ้นมาจากจินตนาการ และฉากหลังต่างๆ ในช่วงปี 1945-1955 ล้วนออกแบบมาอย่างใส่ใจ สำหรับยุคที่เป็นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เพิ่งจะผ่านไปหมาดๆ
รวมถึงการพูดถึงผู้อพยพ อย่างตระกูลตัวเอก คอร์เลโอเน เองก็ตัวอย่างที่ดีของเรื่อง และพยายามเข้ามามีอำนาจในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตัวเอง ที่มีวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป จนทำให้เราก็จะได้เห็นความแตกต่าง วิธีคิดอะไรต่างๆ ของคนในยุคนั้น ที่ออกแบบมาอย่างได้ละเมียดละไม เป็นธรรมชาติ จนไม่แปลกใจที่หนังจะได้รางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีนั้นมาครอง
สำรวจชีวิตของมาเฟีย ภายใต้โลกสีเทาของเหล่าตัวละคร
ความน่าสนใจอีกอย่างของหนังก็คือธีมของเรื่องในโลกของมาเฟียในหนังเรื่องนี้ มีความเด่นชัด และไม่ประนีประนอมต่อคนดูเลย คือหนังไม่ได้สนใจว่าความเป็นพระเอก หรือความเป็นตัวเอกจะต้องเป็นคนดี เพราะเมื่อเป็นตระกูลมาเฟีย ที่กว่าจะยิ่งใหญ่และมีบทบาทในสังคมขนาดนี้ ก็ย่อมต้องผ่านอะไรมามาก ทำให้เราจะได้เห็นทั้งการทำธุรกิจแบบไม่ถูกกฏหมาย ยาเสพติด การอุ้มฆ่า การข่มขู่ ที่ดูสมจริงดี
แต่ในขณะที่ดูมันก็ทำให้เราเห็นหลายๆ มุมและเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างเพิ่มจากการพยายามปูรากฐานของเรื่องราวให้แน่น จนแม้ว่าตัวละครจะออกไปทางเลว แต่เราก็พร้อมติดตามอยากรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปกับพวกเขาตลอด เพราะอย่างบทบาท The Godfather ของ ดอน เอง ที่แม้ว่าจะเป็นตัวละครโหดๆ ที่อยากได้อะไรก็ต้องได้ (จนเกิดประโยคอมตะว่าเป็น ‘ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้’ ออกมา) แต่เขาก็มีความเป็นคนรักครอบครัว และตัดสินใจอะไรด้วยเหตุผล จนทำให้เราอดชื่นชมตัวละครนี้ไม่ได้จริงๆ แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าพ่อมาเฟียสุดโหดก็ตาม
ทีมนักแสดงระดับพระกาฬ กับบทบาทที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิต
ลำพังแค่นักแสดงอย่าง Marlon Brando ก็นับว่าเป็นการแสดงแบบ Masterpiece ที่น่าจดจำไปแล้ว ในบทของ ดอน คอร์เลโอเน ที่กินขาดจนใครก็แทนไม่ได้แล้ว แม้ว่าจะมีดาราอย่าง Robert De Nero มารับบทนี้ในส่วนของ ดอน วัยหนุ่มได้เป็นอย่างดีแต่สุดท้ายทุกคนก็ลงความเห็นเดียวกันว่า ก็ยังไม่เท่าที่ Marlon Brando ทำเอาไว้อยู่ดี ด้วยความทรงพลังของการแสดง จนมีออร่าความเป็นเจ้าพ่อ ความเป็นมาเฟียแผ่ออกมาตลอดเวลา
นอกจากเขาแล้วตัวละครอื่นๆ ก็ยังทำได้ดีไม่แพ้กัน อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งที่ตัวบททำออกมาได้ดี ทำให้ตัวละครมีมิติ มีความเป็นสีเทา ทำอะไรดูมีเหตุผล โดยเฉพาะอย่ายิ่งกับ Al Pacino ในบทของ ไมเคิล คอร์เลโอเน ที่ค่อยๆ มีการพัฒนาตัวละครมาตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง ก่อนที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ใหญที่สุดของตระกูลคอร์เลโอเนนี้ จนนับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จได้มากจริงๆ
โอกาสดูหนังตำนานในโรง แบบที่ไม่ได้มีบ่อยเท่าไรนัก
แม้ว่ายุคนี้เราจะเริ่มเห็นการเอาหนังเก่าๆ กลับมาฉายก็อยู่บ้าง อย่างที่ผ่านมาก็จะเห็น Harry Potter ฉบับครบรอบ 20 ปี เห็น The Lord of the Ring แบบแว้บๆ หรือหนังเซตหว่องเรื่องอื่นๆ ที่กลับมาฉายใหม่กันทั้งเซต ทำให้ใครที่พลาดโอกาสที่จะดูหนังดีๆ เหล่านี้ด้วยแพลทฟอร์มอย่างโรงภาพยนตร์ก็มีโอกาสไปตามเก็บกันได้ อย่าง The Godfather เอง ก็เป็นการเอากลับมาฉายใหม่ในโอกาสที่หนังมีอายุครบรอบ 50 ปี
ซึ่งบอกเลยว่าโอกาสแบบนี้มีไม่บ่อยนัก ที่จะได้ดูหนังเมื่อ 50 ปีก่อนในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง และด้วยความอมตะของมันก็น่าจะทำให้ดูมันได้อย่างสนุกอยู่ และไม่เชยแต่อย่างใด แล้วถ้าพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว อย่างต่ำๆ ที่คิดว่าจะมีโอกาสได้ดูเลย ก็คงเป็นตอนครบรอบ 60 ปีนู่น หรือไม่ก็อาจจะต้องรอตอนครบรอบ 100 ปีกันไปเลย เลยรู้สึกว่าไหนๆ โอกาสก็มาขนาดนี้แล้ว อยากให้ไปดูกันจริงๆ แถมงาน Masterpiece ชิ้นนี้ยังถูก Remaster กันแบบระดับชัดแจ๋ว และผ่านการปรับปรุงเพื่อให้มั่นใจว่านี่คืองานคุณภาพที่พร้อมสู่สายตาผู้คนกันอีกครั้งจริงๆ