Zero Dark Thirty (2012)
ยุทธการถล่มบินลาเดน
คะแนน
โกดังหนัง
จากเหตุการณ์จริงของภารกิจสุดระทึกในการตามล่า บิน ลาเดน สู่เบื้องหลังการวางแผนที่น่าสนใจ และเล่าได้มีพลังชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง
คำคมจากภาพยนตร์
“100% he’s there.” “100% เขาอยู่ที่นั่นแน่ๆ”
เรื่องย่อ
ในปี 2011 เป็นเวลา 10 ปี หลังจากที่ประเทศอเมริกาโดนการก่อวินาศกรรมอย่างรุนแรง โดยมีชายที่มีชื่อว่า อุซามะ บินลาเดน อยู่เบื้องหลัง ซึ่งทาง CIA ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่กลับเก็บภารกิจการตามล่าตัวการเอาไว้เป็นความลับ จนกระทั่งตั้งทีมสืบสวนนำโดย มายา นักวิเคราะห์ข่าวกรอง CIA ในการตามรอยของผู้ก่อการร้ายรายนี้ ก่อนที่จะส่งเจ้าหน้าที่หน่วย Navy Seal เข้าไปทำภารกิจในพื้นที่ได้สำเร็จ
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Zero Dark Thirty คือหนังกึ่งจารึกประวัติศาสตร์ กึ่งระทึกขวัญที่ถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่อยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับภารกิจการสังหาร บิน ลาเดน ว่ามีเบื้องหลังอะไรอย่างไร ในขณะเดียวกัน สำหรับคนที่ชอบหนังแนววางแผนสุดระทึกมันก็ยังสามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี ด้วยจังหวะหนังที่เร่งรีบ พร้อมกับข้อมูลมหาศาลที่โยนมาแบบไม่ให้พัก ก็ทำให้คนดูต้องตั้งใจดู และคิดตามไปกับหนังเป็นอย่างมาก แต่ใครที่มามองหาหนังแอคชั่นของหน่วยทหารแล้ว อาจจะต้องไปหาเรื่องอื่นๆ เพราะเรื่องเน้นการวางแผน และเบื้องหลังภารกิจมากกว่า หากใครที่ชอบหนังสไตล์เอาประวัติศาสตร์ยุคใหม่มาเล่ามันส์ๆ แบบ Argo แล้ว นี่คืออีกเรื่องที่จะตอบโจทย์ได้เหมือนกัน ด้วยข้อมูลที่ดูแน่นและสมจริงกว่า
- สายหนังประวัติศาสตร์ยุคใหม่
- สายหนังถ่ายทอดเหตุการณ์สำคัญ
- สายหนังจากเรื่องจริงสุดระทึก
รีวิว / สรุปเนื้อหา
จากภารกิจที่เก็บงำเป็นความลับมากว่า 10 ปี หลังภารกิจสำเร็จก็ได้รับการเปิดเผยสู่สาธารณชนในกระบวนการทำงานต่างๆ ในการตามล่าสังหาร บิน ลาเดน ว่ามีที่มาที่ไป และการจัดการกันอย่างไร หนังเล่าเรื่องพาร์ทการสืบสวนออกมาได้สนุกมาก เพราะเราจะเห็นว่าทางทีมวิเคราะห์ข้อมูลและทีมสืบสวนนั้น มีเบาะแสแค่เพียงน้อยนิด แต่สามารถประติดประต่อ เรื่องราว และสานต่อข้อมูลอันสุดสลับซับซ้อน ออกมาให้ไปถึงตัวบงการได้อย่างไร เพราะหลายพาร์ทของหนัง ก็ดูเหมือนเต็มไปด้วยอุปสรรค และดูเหมือนจะมาถึงทางตันอยู่หลายรอบมากๆ แต่ด้วยไหวพริบ และความพยายามอย่างสุดความสามารถก็นำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
หนังเรื่องนี้กำกับโดย Kathryn Bigelow ผู้กำกับหญิงมากความสามารถ ที่เคยมีผลงานสุดเดือดเข้มมาก่อนอย่างใน The Hurt Locker ซึ่งมาในครั้งนี้ เราก็ได้เห็นการพัฒนาในการเล่าเรื่องของเธอที่ทำออกมาได้เดือดระอุ ชวนติดตามได้ตลอดทั้งเรื่อง โดยที่ไม่มีช่วงใดของหนังที่ทำให้เรารู้สึกเนิบเลย สมองคนดูจึงต้องทำงานอย่างรวดเร็วมากๆ ในการรับข้อมูลที่หนังโยนมาให้ เสมือนเป็นหนึ่งในนักวิเคราะห์ข้อมูลในเรื่อง ทำให้การรู้ตอนจบ หรือจุดหมายปลายทางของนั้นก็ไม่สำคัญเท่ากับกระบวนการระหว่างทางที่นำไปถึงจุดนั้นได้อย่างน่าสนใจมากๆ เลย ซึ่งด้วยความที่หนังออกตัวว่าเป็นการอ้างอิงจากคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริง มันก็เลยทำให้หนังพอจะมีพื้นที่ให้เสริมเติมแต่งความเป็น หนัง ให้สนุก ลุ้นระทึกมากขึ้น
ซึ่งพอหนังมีพาร์ทวางแผนที่ปูมาดีแล้ว มันก็ช่วยเสริมให้กับเรื่องราวในช่วงท้าย ที่เป็นการทำภารกิจลงพื้นที่จริง จากเบาะแสที่ทางทีมงานมั่นใจ ไปสู่ฉากแอคชั่น ที่ดูรวดเร็ว เด็ดขาด และทรงพลังได้เป็นอย่างดี ในด้านดารานั้น การเลือก Jessica Chastain มารับบทนำ ก็เป็นตัวเลือกที่ดีมาก และมีพื้นที่ให้เธอแสดงความเป็นหญิงแกร่ง และในมุมความเป็นมนุษย์ในการปฏิบัติการอยู่พอสมควร จนไปแปลกใจนักหากจะได้รางวัลลูกโลกทองคำนำหญิงมาครอง (ในขณะที่ชวดจากฝั่งออสการ์ไป) ทำให้นี่เป็นอีกหนึ่งหนังที่จารึกประวัติศาสตร์สำคัญในมุมมองภาพยนตร์ ที่ถ่ายทอดออกมาได้สนุก กับเบื้องหลังการปฏิบัติการสุดระทึกได้เป็นอย่างดี
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- แรกเริ่มเดิมที หนังเรื่องนี้ จะเป็นการเล่าถึงประสบการตามล่า Osama Bin Laden ที่ไม่สำเร็จหลังจากการพยายามมากว่าทศวรรษ แต่แล้วบทหนังก็ต้องมาเริ่มเขียนกันใหม่ ตอนที่ข่าวออกมาว่า Bin Laden ถูกสังหารพอดี
- ในฉาก Climax ของภาพยนตร์ที่เป็นการให้หน่วย SEAL ออกไปตามล่า Bin Laden นั้น ใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 25 นาที ซึ่งใช้น้อยกว่าเหตุการณ์จริงๆ แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น