Shawshank Redemption (1994)
ชอว์แชงค์ มิตรภาพ ความหวัง และความรุนแรง
คะแนน
โกดังหนัง
หนังอันดับ 1 อันยาวนานของเว็บไซต์ IMDB ที่ใครเข้าไปพิสูจน์ ก็มีแต่เติมคะแนนให้มันทะยานขึ้นไปอีก กับเรื่องราวความหวังของมนุษย์
คำคมจากภาพยนตร์
“Hope is a good thing, maybe the best of things, and no good thing ever dies.” “ความหวังเป็นสิ่งที่ดี บางทีอาจเป็นสิ่งดีที่สุดด้วยซ้ำ และสิ่งที่ดีนั้นก็ไม่เคยสูญสลายไป”
เรื่องย่อ
แอนดี้ ดูเฟรน อดีตนายธนาคารระดับสูง ที่เพิ่งเข้ามาเป็นนักโทษใหม่ โดยเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในคดีที่ฆาตกรรมภรรยาและชู้รักของเธอ แต่เขาก็ได้ปฏิเสธมาโดยตลอดว่าเขาไม่ได้ทำ เขาได้เจอกับ เร้ด นักโทษที่ติดคุกมาแล้วกว่า 20 ปี ที่คอยสอนให้เขาเรียนรู้เรื่องต่างๆ ภายใน ในขณะเดียวกันเขายังต้องเผชิญกับ แฮดลีย์ และ นอร์ตัน หัวหน้าผู้คุม และพัศนี สุดโหดที่คอยสร้างความรุนแรงให้กับสถานที่แห่งนี้กลายเป็นนรกสำหรับนักโทษหลายคน จนทำให้วันหนึ่งแอนดี้ก็ตั้งใจที่เอาอิสระภาพในชีวิตกลับมาให้ได้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Shawshank Redemption เป็นหนังที่ไม่ว่าใครก็คู่ควรที่จะดูสักครั้งในชีวิต ในฐานะหนังที่คะแนนสูงที่สุดในเว็บไซต์ IMDB มาโดยตลอดหลายปี แม้ว่าหนังจะเข้าชิงถึง 7 ออสการ์ แต่ก็ชวดมาหมด เพราะเจอคู่แข่งสุดหินในปีนั้นมากมายไม่ว่าจะเป็น Forrest Gump, Pulp Fiction และ Lion King แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าลดลงไปแต่อย่างใด ยกเว้นแต่ว่าคุณจะเป็นคนไม่ชอบหนังดราม่าจ๋าๆ ภายในคุกเอาเสียเลย ไม่ชอบหนังที่มีพูดดีๆ อะไรแบบนี้ดูแล้วก็อาจจะหาว่าหนังมัน Overated ได้ แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราก็อยากแนะนำให้ได้ดูมันสักครั้งอยู่ดี หากใครที่ชอบหนังโทนคนคุกดีๆ อย่าง The Green Mile หรือ Papillo แล้ว ยิ่งไม่ควรพลาดกันเข้าไปใหญ่
- สายหนังชีวิตคนคุก
- สายหนังรางวัลคุณภาพดี
- สายหนังดีแห่งยุค 90s
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หนังจากนิยายสั้นของ Stephen King ที่พิสูจน์ (มาหลายรอบแล้ว) ว่าเขาไม่ได้เป็นนักเขียนที่มีดีแค่ในมุมสยองขวัญเท่านั้น แต่ในแง่ของเรื่องชีวิต และศรัทธาต่างๆ ก็ยังทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน หรือที่ผ่านมาอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ เมื่อพิจารณาถึงการดัดแปลงขึ้นมาเป็นหนังแนวๆ นี้ของเขา Stand by me, The Green Mile หรือแม้กระทั่ง Shawshank Redemption เรื่องนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นงาน Masterpiece เมื่อขึ้นจอเลยทีเดียว ด้วยการวางตัวเป็นหนังดราม่าล้วนๆ ตัวหนังจึงแทบไม่มีอะไรหวือหวาในเรื่องเลย พร้อมทั้งติดตามชีวิตของตัวเอก Andy ไปตั้งแต่วันแรกที่เข้าคุก ผ่านสายตาของตัวละครที่ติดคุกมานานและไม่คาดหวังอะไรแล้วอย่าง Red
แต่แม้ว่าจะเป็นหนังดราม่าแต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะน่าเบื่อ เพราะหนังมีบทสนทนาดีๆ ที่ชวนคิด ออกมาจากปากของแต่ละตัวละครได้อยู่ตลอด และสามารถเอามาใส่เป็นคำคมได้เยอะมากๆ ไม่ว่าจะตัดในส่วนไหนก็ล้วนแล้วแต่มีประโยคเด็ดไปหมด อีกทั้งประเด็นของหนังก็ยังอยู่มาได้แบบเป็นอมตะ การเข้ามาอยู่ของตัวละคร Andy ในเรื่องนั้น ก็สร้างสีสัน และความหวังให้กับนักโทษคนอื่นๆ ได้มาก จากนักโทษคนอื่นๆ ที่ดูหมดใจในการใช้ชีวิตเพราะบางคนต้องอยู่ในคุกไปอีกหลายปี หรืออีกทั้งชีวิต แต่ Anday ก็ทำให้พวกเขาได้เห็นความสุขที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกิจกรรมต่างๆ นานาเพื่อความบันเทิง หรือสร้างคุณค่าในตัวเอง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการส่งต่อความหวังให้กับเขาได้ทั้งสิ้น
สิ่งที่ Andy ทำเหล่านี้ ไม่เพียงแต่มอบความหวังให้กับนักโทษในคุก แต่ยังเป็นการสะท้อนมาถึงคนดูด้วย ที่หลายๆ คนนั้นมีชีวิตเสมือนติดอยู่ในคุก กับการที่ต้องเผชิญกับสิ่งซ้ำๆ ในแต่ละวัน และน้อยคนนักที่จะหลุดจากตรงนั้นมาสู่อิสรภาพได้ แต่คนที่ยังติดอยู่นั้นก็ยังสามารถความบันเทิงให้กับชีวิต เติมเต็มความหวังเข้าไปเหมือนกับสิ่งที้ Andy นั้นพยายามจะทำนั่นเอง ด้วยความที่เนื้อหาของหนังไกลตัว แต่กลับเชื่อมโยงได้ใกล้ตัว อีกทั้งยังสามารถดึงอารมณ์ของคนดูได้อยู่ตลอด ประกอบกับเนื้อหาที่เล่าง่ายๆ แต่ได้ผลได้กลับลึกซึ้งกินใจ ก็ไม่แปลกใจนักที่หนังเรื่องนี้มันจะยังคงถูกวางเอาไว้ในฐานะหนังอันดับ 1 ของเว็บ IMDB อยู่ตลอดกาล
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- แม้ว่าหนังจะดีงามขนาดนี้ แต่ตอนที่ฉายในโรงกลับได้รายได้เพียง $18 ล้านเท่านั้น ด้วยทุนที่สูงถึง $25 ล้าน ก็ทำให้มันเข้าข่ายหนังเจ๊งไปโดยปริยาย แต่ด้วยความที่หนังได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ถึง 7 รางวัล ก็ทำให้เป็นที่สนใจมากขึ้น จนกลายเป็นหนังที่มียอดเช่าในร้านเช่าวิดีโอสูงสุดตลอดกาล และกระแสแบบปากต่อปากก็พามันมาได้ไกลมากในตลาดวิดีโอ
- นักเขียน Stephen King ขายสิทธิของนิยายเรื่องนี้ ให้ผู้กำกับ Frank Darabonk ในการเอาไปทำหนังในราคาแค่ $1,000 เท่านั้น ซึ่งผู้กำกับ Rob Reiner ก็เคยอยากสร้างหนังเรื่องนี้มาก เลยมาขอซื้อสิทธิต่อในราคาถึง $2.5 ล้าน แต่ Frank ก็ตัดสินใจไม่ขาย
- ฉากมือของ Andy ที่ใส่กระสุนปืนในช่วงต้นเรื่องนั้น แท้จริงแล้วเป็นมือของผู้กำกับ Frank Darabont