Midsommar (2019)
เทศกาลสยอง
คะแนน
โกดังหนัง
เปิดมาเนื้อหาเหมือนจะสดใสละมุนละไมเป็นฉากหน้า เดินเกมวางเรื่องราวได้แยบยล หลอกล่อคนดูสัมผัสถึงความระทึกขวัญที่น่ากลัวแบบคาดไม่ถึง
คำคมจากภาพยนตร์
“Tomorrow’s A Big Day.”
"พรุ่งนี้วันสำคัญ"
เรื่องย่อ
ดานี่ และ คริสเตียน คู่รักที่เดินทางมายังประเทศสวีเดนตามคำชักชวนของเพื่อนร่วมมหา’ลัย ที่นั่นพวกเขาและเพื่อนๆ วางแผนที่จะไปเที่ยวเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูร้อนในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลและร้างไร้ผู้คน เทศกาลนี้จะจัดขึ้นเพียง1ครั้งในรอบ 90 ปี เป็นเวลา 9 วัน และเป็น 9 วันที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน แต่ยิ่งพวกเขาคลุกคลีอยู่กับดินแดนที่เหมือนจะสดใสแห่งนี้เท่าไร ก็ยิ่งค้นพบเรื่องราวสุดแปลกประหลาด และชวนขนหัวลุกขึ้นเรื่อยๆ และกว่าจะรู้ตัวก็แทบจะสายเกินไป
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Midsommar กลายเป็นหนังสยองขวัญที่หลอกล่อคนดูด้วยไอเดียที่แปลกใหม่ เหมาะกับคนชอบความเหี้ยนความหลอนความระทึกขวัญ มัน วัดใจคนดูด้วยการเน้นซีนที่โหดร้าย รุนแรง น่าสะอิดสะเอียน ทั้งในฉากกินข้าว เต้น มีเซ็กซ์ ทำร้ายร่างกายอย่างเชื่องช้า ชัดเจน เห็นกันแบบจะจะ ผสมผสานกับพิธีกรรมเหนือจินตนาการ เป็นเครื่องมือสร้างความน่ากลัวที่ยิ่งกว่าความมืดมิดให้กับตัวละครและผู้ชม ยิ่งได้เห็นภาพสุดสยอง ไม่มีความมืดช่วยอำพราง และเห็นความมืดมิดในจิตใจมนุษย์ที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อความเชื่อที่เราไม่มีวันเข้าใจได้ คนดูหนังเรื่องนี้ได้คือต้องจิตแข็งจริงๆ
- สายหนังระทึกขวัญ
- สายหนังสยองขวัญ
- สายหนังซาดิสถ์
รีวิว / สรุปเนื้อหา
งานระทึกขวัญที่น่ากลัวสั่นประสาทคนดูตอนกลางวันแสกๆ นี่คือหนังสยองขวัญเจนใหม่ ที่ไม่มีเนื้อหาวิญญาณ ผีตายแล้วกลับมาหลอกหลอน แต่ Ari Aster ผู้กำกับปลุกความน่ากลัวความพิศวงให้หนังสร้างความหวาดกลัวในเวลากลางวัน จากนั้นก็ค่อยๆสั่นประสาทคนดูไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องคาดเดาเนื้อหาอะไรทั้งสิ้น คู่รักจากอเมริกาเดินทางไปเที่ยวสวีเดนทางตอนเหนือเพื่อร่วมพิธีเทศกาลเฉลิมฉลองของลัทธินอกรีตซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 90 ปี เทศกาลดังกล่าวมีระยะเวลา 9 วัน ประกอบไปด้วยการร้องรำ และพิธีกรรมแปลกประหลาด หมิ่นเหม่ศีลธรรม ฉากหน้ามันดูไม่มีพิษมีภัย แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่ามันจะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล
หนังพูดถึงประเด็นกลุ่มคนหนุ่มสาวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องลึกลับ และฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ข้อบังคับ จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ แต่หัวใจหลักคือการสร้างความน่ากลัวในช่วงเวลากลางวันนี่แหละ ที่ฉีกกรอบหนังสยองขวัญที่ชอบมาในพล็อตกลางคืน Ari Aster กลายเป็นหนังทำหนังรุ่นใหม่ที่ สร้างเนื้อหามชนชุนฮิปปี้ในอุดมคติซึ่งดูไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่ก็กลับสร้างความโกลาหลตามมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาทำออกมาได้หลอนชวนระทึก นอกจากนี้แล้วหนังยังเติมความบ้าคลั่งเข้าไปในประเด็น อาการเจ็บป่วยทางจิต ที่ตัวละครกำลังเผชิญหน้าอยู่ ความจริงแล้วหนังไม่ได้น่ากลัว แต่เป็นความหวาดกลัวของคนนี่แหละ ยิ่งช่วงเวลาที่หดหู่สิ้นหวังมันยิ่งทำให้เราเห็นความผิดแปลกของผู้คนที่อยู่และสนับสนุนเทศกาลนี้
นอกจากพล็อตเรื่องความระทึกขวัญแล้ว สิ่งที่ทำให้หนังน่าสนใจคือ โลเคชั่นหนัง ถ่ายที่ฮังการี ไม่ได้ไปสวีเดนจริงๆ แต่สร้างเรื่องราวได้น่าเชื่อว่านี่คือสวีเดนจริงๆ งานสร้างคอสตูมดูสมจริงไม่หลอกตาคนดู องค์ประกอบทุกอย่างกับเทศกาลบ้าๆนี่ให้ความสมจริง ทุกอย่างกลั่นกลองออกมาจากความคิดสร้างสรรค์ที่มีนัยยะแอบแฝงเต็มไปหมด คือมันสวยงามจริงๆ จนทั่วไปคาดไม่ถึงว่าเทศกาลที่เกิดขึ้นในหนังนี้มันคืองานระทึกขวัญที่เข้าขั้นระดับท็อปวงการภาพยนตร์ไปเลย หนังแม่งลุ้นเหนื่อยมากในการชมแต่บทก็แยบยลพอสมควร แถมตัวนักแสดง Florence Pugh ก็ฉายแววดาราคุณภาพมาตั้งแต่ตอนนั้น จนได้มาแสดงหนังกับ Marvel เพราะเธอคือหัวใจสำคัญของเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังเรื่องนี้ถ่ายทำในประเทศฮังการีทั้งหมด
- ที่หนังไม่ได้ไปถ่ายทำที่ประเทศสวีเดนจริงๆเพราะว่า มีปัญหาเรื่องข้อกฏหมาย
- หนังต้นฉบับมีความยาวมากถึง 3 ชั่วโมง