Final Destination (2000)
7 ต้องตาย โกงความตาย
คะแนน
โกดังหนัง
จุดเริ่มต้นของการสรรหาการตายสุดครีเอทีฟ หนังสยองขวัญอีกเรื่องที่ทำออกมาได้สนุก แม้ทั้งเรื่องจะไม่มีปรากฏตัวของผีหรือวิญญาณเลย
คำคมจากภาพยนตร์
“In death there are no accidents, no coincidences, no mishaps, and no escapes”
“สำหรับความตาย ไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีเหตุบังเอิญ ไม่มีคราวเคราะห์ และไม่มีทางหนี”
เรื่องย่อ
อเล็กซ์ บราวนิ่ง และกลุ่มเพื่อนนักศึกษา ระหว่างที่จะขึ้นเครื่องไปปารีสเพื่อทัศนศึกษา เขาได้เห็นภาพนิมิตบางอย่างว่า เครื่องบินที่พวกเขาออกกำลังเดินทางไปด้วยนั้นจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ด้วยความรู้สึกที่เหมือนจริงมาก เขาจึงตะโกนให้ทุกคนลงจากเครื่องบินลำนี้ ท่ามกลางความโกลาหลนั้น เขาและกลุ่มเพื่อนบางคนได้ถูกไล่ให้ลงจากเครื่องบิน แต่แล้วไม่นานนักในขณะที่อเล็กซ์และเพื่อนกำลังทะเลาะกันอยู่ที่จุดรอ เครื่องบินที่กำลังขึ้นบินก็ดันเกิดระเบิดกลางเวหาขึ้นมาจริงๆ หลังจากนั้นผู้รอดตายจากเที่ยวบินนั้นต่างเริ่มทยอยตายลงอย่างสยองเป็นปริศนาดูเหมือนจะคล้ายอุบัติเหตุ แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับมีอะไรมาทวงคืนความตายพวกเขาอยู่จากการโกงในครั้งนี้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Final Destination เหมาะกับคอหนังสยองขวัญ ที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเจอผี เจอปีศาจ หรือฆาตกรโรคจิตมาไล่เชือด แต่เป็นความสยองที่ขึ้นอยู่กับบรรยากาศ สภาพแวดล้อม และอันตรายโดยรอบตัว ที่พาเอาคนดูช่วยกันลุ้นว่าใครจะตาย (ด้วยอะไร?) และใครรอด (ได้อย่างไร?) พร้อมกับสนุกสนานไปกับความสร้างสรรค์ของการตายของตัวละครแต่ละตัว ที่ผ่านการคิดมาเป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้หนังเรื่องนี้ก็อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่ได้ชอบหนังสยองขวัญเป็นทุนเดิม และไม่ชอบเรื่องเหนือธรรมชาติที่อยู่เหนือเหตุและผลอยู่ ส่วนตัวคิดว่าคนที่ชอบหนังสไตล์ Saw ที่แบบสรรหาวิธีการตายสุดบรรเจิดแล้ว น่าจะชอบ Final Destination ได้แน่ๆ เพราะเสิร์ฟความตายสุดพิสดารมาให้ได้อย่างสะใจจริงๆ
- สายหนังสยองขวัญ
- สายหนังสยองพล็อตล้ำ
- สายหนังแฟรนไชส์หลายภาค
รีวิว / สรุปเนื้อหา
อีกหนังสยองขวัญที่สร้างลูกเล่น และเงื่อนไขออกมาได้น่าสนใจ ในขณะที่หนังสยองส่วนมากในยุคนั้นยังวนเวียนกับในเรื่องของฆาตกรใส่หน้ากากและผีเป็นส่วนใหญ่ แต่เรื่องนี้กลับเล่นกับสิ่งที่มองไม่เห็นแต่ยังสร้างความสยองได้เป็นอย่างดี ทำให้ตัวพล็อตที่คอนเซปต์ดูเหมือนจะง่ายๆ อย่างความตายมาทวงคืน กลับดูมีอะไรขึ้นมาก จนกลายเป็นว่าบรรยากาศ และสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวละครนั้นดูเหมือนจะเป็นอันตรายไปเสียหมด และหากพลาดพลั้งไปก็สามารถตายได้ทุกเมื่อ จนเมื่อดูจบคนดูเองก็ต่างเริ่มหวาดวิตกกับสิ่งรอบตัวได้อยู่เหมือนกัน (ลองนึกถึงตอนขับรถตามหลังรถขนไม้ หรือจะไปทำเลสิค ก็จะมีฉากในหนังเรื่องนี้แว้บเข้ามาแน่ๆ)
อีกทั้งการตายของตัวละครแต่ละตัวยังเรียกได้ว่าเข้าขั้นสยดสยอง โหดร้ายจนเรียกได้ว่าตายปกติบนเครื่องบินยังน่าจะเป็นตายที่ไปสบายกว่านี้ แต่ทั้งนี้จุดเด่นจริงๆ ที่แฟนๆ หนังชุดนี้ ต่างก็ชอบกันมากๆ จนสามารถคลอดภาคต่อมาได้อีกมากมาย คือการสร้างสรรค์ความตายออกมาได้สุดบรรเจิดซะเหลือเกิน ในหลายๆ ครั้งก็มีการสับขาหลอกให้คาดเดาไม่ได้ พอคิดว่าจะตายด้วยอย่างหนึ่ง ก็ดันไปเจอกับอีกอย่างหนึ่ง จนทำให้มันสร้างความลุ้นระทึกได้ดีมากๆ ว่าตัวละครจะตายยังไงกันแน่ ซึ่งในเรื่องวิธีการตายของตัวละครในภาคนี้ก็เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับคำว่าอุบัติเหตุได้มากกว่าภาคอื่นๆ ที่หลายๆ คนอาจรู้สึกมันว่าเว่อร์จนเกินกว่าที่จะเป็นไปได้จริง
ในพาร์ทของการดำเนินเรื่อง แม้จะมีตัวละครที่ชวนหงุดหงิดอยู่บ้างตามสไตล์หนังแนวนี้ ที่เลือกจะไม่เชื่อไม่สนใจกับอะไรที่เกิดขึ้น และทำตัวโวยวายขวางโลกอะไรแบบนี้ แต่ในส่วนนี้ก็ไม่ได้กระทบอะไรกับตัวหนังเท่าไรนัก เพราะคนดูก็รู้อยู่แล้วว่านี่คือตัวละครที่จะเอามาโชว์ตายให้สะใจซะมากกว่า ซึ่งในส่วนของกฏที่หนังวางมานั้น (การทวงความตาย) ก็ช่วยให้ตัวละครค่อยๆ ทยอยตายกันลงด้วยวิธีแปลกๆ จนแทบไม่มีช่วงน่าเบื่อสักเท่าไร เมื่อถึงจุดเหมือนจะพัก ก็จะมีตัวละครมาตายเพิ่มให้เราสามารถตื่นเต้นไปได้เสมอ อีกทั้งสุดท้ายแล้วหนังก็เหมือนจะสอดแทรกประเด็นเรื่องความตายได้เป็นอย่างดี ถึงชีวิตคนเราที่สุดท้ายก็คงจะหนีจากความตายไม่พ้น และความตายก็สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อ จากทุกอย่างรอบๆ ตัว ที่ทำให้เราต้องมีสติในการใช้ชีวิตให้มากขึ้น
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- พล็อตเรื่องของหนังนั้นได้มาจากบทที่ไม่ได้ใช้ตอนหนึ่งของ The X Files ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังที่มีชื่อว่า Sole Survivor เกี่ยวกับผู้รอดชีวิตคนเดียวบนเหตุการณ์เครื่องบินตก จนวิญญาณผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ จะมาเอาเธอกลับไปด้วย (เอิ่ม...)
- ภาคแรกของหนังเป็นภาคที่มีฉาก หายนะตอนเปิดเรื่อง ที่สั้นที่สุด และมีฉากเครื่องบินระเบิดแค่เพียง 2 นาทีเท่านั้น ในขณะที่ภาคอื่นๆ ได้ทุนมาเพิ่มจนสร้างสรรค์ฉากเปิดแบบอลังการได้อย่างมันส์มือ